ผู้บริหารเอกชนเร่งรัฐปรับโครงสร้างภาษีนำเข้า รับมือสงครามการค้าระอุ
ส.อ.ท.เผยผลสำรวจ FTI CEO Poll พบผู้บริหารเอกชนต้องการให้ภาครัฐเร่งปรับโครงสร้างภาษีนำเข้า มุ่งรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศ รับมือสงครามการค้าร้อนระอุ
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 43 ในเดือนมกราคม 2568 ภายใต้หัวข้อ “ความเห็นต่อนโยบายการปฏิรูปภาษีไทย” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ เห็นด้วยหากภาครัฐดำเนินการปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าก่อน
ทั้งนี้ เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศ และเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากสงครามการค้าที่คาดว่าจะมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ขณะที่การปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในช่วงเวลานี้ ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นด้วย
อย่างไรก็ดี จากผลสำรวจยังพบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันเป็นปัจจัยหลักที่ควรต้องนำมาประกอบการพิจารณาดำเนินนโยบายปฏิรูปภาษี โดยเฉพาะการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Complete Aged Society) และกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ทำให้สินค้าส่งออกไทยตามเทรนด์เทคโนโลยีโลกไม่ทัน ส่งผลทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนไปจากเดิม การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว
ขณะเดียวกันแนวทางการปฏิรูปภาษีควรดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีแผนและกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนให้ภาคธุรกิจปรับตัว ตลอดจนออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีแก่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า การปรับภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม Global Minimum Tax ในอัตรา 15% ที่มีผลไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 นั้น อาจทำให้ภาครัฐไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนได้ดังเดิม ดังนั้นภาครัฐต้องคำนึงถึงความสามารถในการแข่งขันด้านการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศด้วย เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ โลจิสติกส์ ฯลฯ
รวมถึงเตรียมปรับปรุงกฎระเบียบและเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องเหมาะสม และมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม (Rule of law กฎหมายสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์) พัฒนาคุณภาพการศึกษา และส่งเสริมแรงงานทักษะสูงรองรับเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ๆ ที่มีมูลค่าสูง
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 125 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 47 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 43 จำนวน 6 คำถาม ดังนี้
(1)ปัจจัยใดที่ควรนำมาประกอบการพิจารณาในการดำเนินนโยบายการปฏิรูปภาษีไทย :
* โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม 67.2%
* ความสามารถในการแข่งขันในด้านภาษีกับประเทศคู่แข่ง 66.4%
* เสถียรภาพทางการคลังและประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี 39.2%
* แนวทางการปฏิบัติตามกฎกติกาสากล เช่น OECD 13.6%
(2)ภาครัฐควรดำเนินนโยบายการปฏิรูปภาษีไทยอย่างไร :
* ปรับโครงสร้างภาษีอย่างค่อยเป็นค่อยไปควบคู่กับมาตรการบรรเทาผลกระทบ 62.4%
* ขยายฐานภาษีและส่งเสริมให้เศรษฐกิจเข้ามาอยู่ในระบบ 52.0%
* การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้านภาษี 44.0%
* ยึดหลักการลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ และการเก็บภาษีบนฐานทรัพย์สิน 25.6%
(3)การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม Global Minimum Tax ที่อัตรา 15% จะส่งผลดีอย่างไร :
* ลดต้นทุนทางภาษีให้กับบริษัท เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน 59.2%
* ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) และลดแรงจูงใจที่นักลงทุนจะย้ายฐานไปประเทศที่มีภาษีต่ำกว่า 44.8%
* ส่งเสริมความเท่าเทียมในการดำเนินธุรกิจ ภายใต้มาตรฐานภาษีที่เท่าเทียม 43.2%
* ช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนซ้ำภายในประเทศและมีมาตรการส่งเสริมที่ไม่ใช่ภาษีเพิ่มมากขึ้น 27.2%
(4)ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม Global Minimum Tax ที่อัตรา 15% ในเรื่องใด :
* ความสามารถในการแข่งขันด้านการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศด้านอื่นๆ เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ โลจิสติกส์ ฯลฯ 64.0%
* การปรับสิทธิประโยชน์จากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI 44.0%
* การปรับตัวของผู้ประกอบการจากการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลตาม GMT 36.0%
* แผนการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ (FDI) อาจหยุดชะงัก 16.8%
(5)ภาคอุตสาหกรรมมีความเห็นต่อนโยบายการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อย่างไร :
* ไม่เห็นด้วย 62.4%
* เห็นด้วย 37.6%
6)ภาครัฐควรเร่งพิจารณาปรับปรุงภาษีประเภทใด :
* ภาษีนำเข้า 48.8%
* ภาษีนิติบุคคล 44.8%
* ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 38.4%
* ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 32.8%
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568