Man-made landmarks ต่อยอดธุรกิจเอสเอ็มอีไทยในระดับท้องถิ่น
เริ่มต้นปีใหม่ พ.ศ.2568 อย่างน้อยประเทศไทยต้องมีความหวังที่จะเห็นเศรษฐกิจในปีนี้มีการขยายตัวตามที่สำนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายได้ประเมินไว้มากมาย เช่น ทางสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจไทยปีนี้ว่า จะขยายตัว 2.3-3.3%
เพราะเชื่อว่า “ปีมะเส็ง…งูเล็ก” เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกจะต้องมีเหตุและปัจจัยการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เกิดขึ้นไปในทิศทางที่ดีกว่าเดิม
อย่างน้อยๆ การส่งออกน่าจะยังอยู่ในระดับที่ดี การท่องเที่ยวไทยที่ยังเป็นจุดแข็งกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายๆ พื้นที่ ส่งผลดีต่อเอสเอ็มอีที่กระจายตัวอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ โดยเฉพาะตามกลุ่มเมืองรอง
“จะเป็นเรื่องที่ดีมาก หากรัฐบาลมีมาตรการที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่ส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจเอสเอ็มอีไทยในระดับภูมิภาค เพราะเอสเอ็มอีเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ในระดับชุมชนขึ้นมาจนสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจระดับประเทศ”
แต่ละจังหวัดของประเทศไทยต่างก็มี “จุดแข็ง” ที่แตกต่างกัน สามารถดึงเอาวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยว หรืออาหารการกินมาต่อยอดเรื่อง “ซอฟต์พาวเวอร์” ที่ผมได้เขียนถึงไปในบทความตอนที่แล้ว แต่รัฐบาลจะต้องเข้ามาสนับสนุนอย่างจริงจัง เป็นเรือธงที่ช่วยนำ
เอสเอ็มอีไทยไปให้ถึงฝั่ง
ผมอยากเห็นรัฐบาล มีมาตรการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับจังหวัด ในระดับภูมิภาค เช่น การมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในกลุ่มเมืองรองของไทย เพราะการท่องเที่ยวเป็นกลไกหลักที่กระตุ้นการใช้จ่ายได้ทันที
แต่รัฐบาลจะต้องมีมาตรการที่จูงใจเพื่อกระตุ้นการเดินทาง การท่องเที่ยว การใช้จ่าย ให้นักท่องเที่ยว นักเดินทาง ควบคู่กันไปด้วย จึงจะทำให้เขารู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับเงินและต้นทุนที่ต้องจ่าย อย่างไรก็ตาม ผมอยากจะให้ภาครัฐเข้ามาช่วยสนับสนุนเกี่ยวกับเรื่องฮาร์ดแวร์ ที่จะมาช่วยต่อยอดโครงการประเภท Man-made landmark เช่น การวางโครงสร้างพื้นฐาน ไฟฟ้าประปาน้ำ ต้องเข้าถึง หรืออาจจะรวมถึงมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ทุกภาคส่วนที่อยู่ในซัพพลายเชนของโครงการดังกล่าวเป็นต้น
นอกจากนี้ผมเชื่อว่า ยังสามารถต่อยอดจากกระแสซอฟต์พาวเวอร์ได้อยู่ ทั้งจากเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ที่มีน้องลิซ่า Blackpink ศิลปินระดับไอคอนนิกที่สร้างชื่อเสียงก้องโลกให้กับประเทศไทย ร่วมเคาต์ดาวน์ไอคอนสยามสุดปัง ทุบสถิติผู้ชมถ่ายทอดสดทั่วโลกทะลุกว่า 30 ล้านคน
งานนี้ “สมมง” เคาต์ดาวน์เดสทิเนชั่นยิ่งใหญ่ระดับโลก ครั้งแรกในประเทศไทย
ผมเองอยากเห็นมาตรการด้านการเงินเข้ามาช่วยเหลือเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้นด้วย อย่างที่รับรู้กันว่าการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของเอสเอ็มอีนั้นยากมากๆ ด้วยเงื่อนไขที่เข้มข้น เพราะธนาคารพาณิชย์ต่างก็กังวลกับปัญหาหนี้เสียล่าสุดที่ใกล้ทะลุ 1.3 ล้านล้านบาท
แม้ว่ารัฐบาลจะมีโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ออกมา แต่ก็เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้าน รถ และเอสเอ็มอีขนาดเล็กที่มีวงเงินหนี้ไม่สูงมาก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันทั้งบ้าน รถ และสถานประกอบการไว้ได้ อาจจะยังไม่เพียงพอ
ดังนั้นจึงต้องมี การสร้างจุดท่องเที่ยวในลักษณะที่เรียกว่าเป็น “Man-made landmarks” ขึ้นมาเพื่อสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ ในการดึงดูดผู้คนให้เข้ามาในพื้นที่เป็นการสร้าง “Man-made attraction” อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งหลายๆ ประเทศเขาก็ทำกัน
“ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบการเดินทาง เวลาที่ผมไปท่องเที่ยวหรือมีโอกาสไปติดต่อธุรกิจในต่างประเทศก็มักจะหาเวลาไปเที่ยวชมสถานที่ที่สำคัญของเมืองนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ Sea-sand-sun แล้ว ผมก็ยังไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นทั้ง Man-made landmarks อีกด้วย”
การสร้าง “Man-made landmarks” ขึ้นมา ต้องคำนึงถึงเอสเอ็มอีด้วยว่าจะให้กลุ่มนี้เขามีช่องทางขายสินค้าหรือต่อยอดธุรกิจได้อย่างไร มันถึงจะ Win-Win situation ด้วยกันทั้งหมด รัฐบาลต้องมีโครงการเข้ามาช่วยเปิดช่องทางและโอกาสให้เอสเอ็มอีได้มีเส้นทางใหม่ๆ ในการทำธุรกิจ
อย่างประเทศจีนที่แม้ประเทศจะมีขนาดใหญ่ มีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมและธรรมชาติแล้ว ทางรัฐบาลเองก็พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน Man-made landmarks ที่มีอยู่ในหลายๆ เมือง และผู้ประกอบการทุกขนาดรวมทั้งเอสเอ็มอีที่อยู่ในระบบ supply chain ก็ได้ประโยชน์ร่วมกัน
ผมอยากยกตัวอย่าง Man-made landmarks ที่มีอยู่ในหลายๆ เมืองของจีน เช่น ที่เมืองจางเจียเจี้ย ก็มีสะพานกระจก Zhangjiajie Glass Floor Bridge สะพานแขวนพื้นกระจกที่ยาว และสูงที่สุดในโลก
อีกหนึ่งสถานที่เที่ยวจีนที่ต้องมาลอง ก็คือ ลานสกีหยาปู่ลี่ (Yabuli Ski Resort) เป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบกิจกรรมฤดูหนาว โดยเฉพาะสกีและสโนว์บอร์ด มีลานสกีที่มีระยะทางรวมกว่า 30 กิโลเมตร หรือสนุกกับการล่องเรือในฤดูหนาวได้ด้วย ที่เซี่ยงไฮ้ก็มี เดอะบันด์ (The Bund) ถนนเลียบแม่น้ำหวงผู่ แม่น้ำสายสำคัญของเมืองเซี่ยงไฮ้ เต็มไปด้วยตึกสูงสไตล์แบบยุโรป สถานที่นี้เป็นจุดเดินเล่นและจุดถ่ายรูปยอดฮิตของนักท่องเที่ยว เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า…มันมีเม็ดเงินมากมายที่กระจายตัวไปกระตุ้นเศรษฐกิจให้หมุนเวียน
แต่เมื่อมองมาในประเทศไทยในเขตเมืองรอง จึงเกิดคำถามว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่ควรจะทำโครงการแบบนี้เสียที โดยทางจังหวัดทั้งรัฐบาลและองค์การบริหารงานในแต่ละจังหวัด ต้องร่วมกับภาคเอกชนจัดสร้าง Man-made landmarks เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว จะได้เป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในต่างจังหวัด
“ทำไม่ได้ก็ลอกเลียนไอเดียจากต่างประเทศก็ได้นะครับผมว่าแบบนี้ดีนะ เช่น สร้างเมือง หรือหมู่บ้านจำลองขึ้นมา ให้มันสอดคล้องกับวิถีชุมชน วัฒนธรรม ประเพณีของคนในพื้นที่ ให้เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดไปเลย สวนสนุก จัดคอนเสิร์ต เป็นต้น”
แต่ละจังหวัดก็ควรจะมีประเพณีกิจกรรม เสริมสร้างวัฒนธรรม อย่างต่อเนื่องเพื่อโปรโมตการท่องเที่ยว ที่สำคัญคือ การสร้างความร่วมมือกันระหว่างภาคเอกชนกับรัฐบาล การจัดสรรงบประมาณจากทางภาครัฐลงมาสู่ท้องถิ่นมากขึ้น ส่วนภาคเอกชนก็ช่วยกันบริหารและออก ความคิดเห็น แบบนี้เป็นต้น ผมเชื่อว่าท้องถิ่นไปได้กิจการเอสเอ็มอีในแต่ละจังหวัดไปรอดแน่นอน
ผมเจอข้อมูลหนึ่งน่าสนใจมากจาก ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย (KTB) ที่ประเมินว่า Man-made landmarks ในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวในกลุ่มต่างชาติในกลุ่มนี้จะมีโอกาสแตะ 3.1 ล้านคนภายในปี 2568 จากยอดรวมประมาณ 1.3 ล้านคนเมื่อปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า ในช่วง 3 ปี และคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินรายรับเข้าประเทศสูงถึง 1.8 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 0.9% ของจีดีพี
ประเทศไทยควรรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ เพราะปัจจุบันแหล่งเที่ยวที่ถูกสร้างขึ้น หรือ Man-made landmarks กำลังเป็นที่สนใจจากนักเดินทางทั่วโลกรวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ต้องการค้นหาประสบการณ์ที่แตกต่างจากรูปแบบเดิม ซึ่งถือเป็นโอกาสในการลงทุนพัฒนาการท่องเที่ยวเชิง Man-made ของไทย เพื่อเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ในผลักดันภาคท่องเที่ยว ตลอดจนส่งเสริมธุรกิจของเอสเอ็มอีในท้องถิ่นนั้นๆ ให้เติบโตตามไปด้วย
ข้อมูล สุพันธุ์ มงคลสุธี
ประธานกิตติมศักดิ์
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568