"การเมือง" อุปสรรคสำคัญในการ ปฏิรูปบำนาญ ผู้สูงอายุไทย
สัปดาห์ที่แล้ว ได้เกิดเสียงคัดค้านจากภาคประชาชนและภาคการเมือง กรณีร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับบำนาญประชาชนถึง 3 ฉบับไม่ได้รับการรับรองจากนายกรัฐมนตรี
ในขณะที่ร่างกฎหมายฉบับที่ 4 คือ ร่างพระราชบัญญัติผู้สูงอายุและบำนาญแห่งชาติ (ฉบับล่าสุด) เสนอโดยเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ กำลังถูกจัดประเภทเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน และยังเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจถูกปัดตก
สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมต่อประชาชน เพราะควรจะให้นำร่างกฎหมายเข้าไปอภิปรายในสภา
ดังนั้น จึงเป็นการสืบทอดแนวทางของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ปัดตก นั่งทับ หรือ “มีบัญชาไม่รับรอง” ข้อเสนอร่าง พ.ร.บ.บำนาญผู้สูงอายุ จากอย่างน้อย 5 ฉบับในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้
เราจึงควรตั้งคำถามเกี่ยวกับเจตจำนงทางการเมือง (political will) ของรัฐบาลปัจจุบันในการพัฒนาระบบความคุ้มครองทางสังคม (social protection) สำหรับประชาชน

โดยรัฐบาลมีเจตนาหลีกเลี่ยงการปฏิรูประบบบำนาญ เนื่องจากผลประโยชน์ขัดแย้งทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้น เพราะการพัฒนาสวัสดิการสังคมเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปภาษี การบริหารงบประมาณ และการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
ซึ่งล้วนมีผลประโยชน์ทางการเมืองเกี่ยวข้อง การเปลี่ยนแปลงใดๆ อาจกระทบผู้ได้รับผลประโยชน์เดิม ทำให้รัฐบาลอาจต้องตัดสินใจเลือกความสำคัญ
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เรามีฉันทามติในวงกว้างในหมู่ภาคประชาสังคม (ตามที่สะท้อนจากคะแนนเสียงเลือกตั้ง) ภาคการเมือง นักวิชาการ และหน่วยงานวิจัยว่า
ประเทศไทยควรมีสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ พร้อมด้วยการวิจัยอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนและแนวทางการจัดการ
ตัวอย่างเช่น ธนาคารโลกมีงานวิจัยว่า หากประเทศไทยดำเนินการ “ปฏิรูปภาษี” และ “ปฏิรูปงบประมาณ” จะสามารถลดการขาดดุลงบประมาณได้มากกว่า “การไม่ทำอะไร” (status quo)
ยิ่งไปกว่านั้น การ “ปฏิรูปภาษี” เช่น เพิ่ม VAT และ ขยายฐานภาษี สามารถสร้างรายได้ คิดเป็น 3.5% ของ GDP (Thailand Public Spending and Revenue Assessment, World Bank, 2023)
ยิ่งไปกว่านั้น รายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่อง การพัฒนาระบบบำนาญพื้นฐานประชาชน ของ คณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร (2567) มีข้อเสนอแนะถึงการขึ้นอัตราบำนาญพื้นฐานแบบทยอยปรับขึ้น พร้อมทั้งระบุแหล่งที่มาของงบประมาณ
อีกทั้งยังเสนอแนะว่า รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญในการผลักดันเรื่องแหล่งงบประมาณที่จะนำมาใช้สำหรับบำนาญพื้นฐานประชาชนอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น การขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติ การศึกษาแหล่งงบประมาณในอนาคต หรือการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ เพื่อการคุ้มครองความยากจนได้จริง งานวิจัยของผู้เขียนแสดงให้เห็นว่า ผู้สูงอายุจะต้องมีบำนาญอย่างน้อย 2,000 บาทต่อเดือน (เมื่อเทียบกับเส้นความยากจนที่ 3,000 บาท) เพราะหากต่ำกว่า 2,000 บาท หมายความว่า เป้าหมายของการคุ้มครองความยากจนผู้สูงอายุล้มเหลวโดยอัตโนมัติ

นอกเหนือจากบำนาญขั้นพื้นฐานแล้ว ประเทศไทยจำเป็นต้องออกแบบกลไกการออมและแรงจูงใจในการวางแผนทางการเงินสำหรับการเกษียณอายุที่ครอบคลุมวัยแรงงานทุกคน
เช่นเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้ว อีกทั้งควรกำหนดให้ระบบบำนาญแห่งชาติเป็นวาระแห่งชาติที่มีหน่วยงานรับผิดชอบชัดเจน, สร้างระบบฐานข้อมูล โดยกำหนดให้ผู้ที่ต้องการเบี้ยผู้สูงอายุส่วนเพิ่มเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ในวัยทำงาน,
ส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุให้เป็นรูปธรรม ทั้งในระบบและนอกระบบ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ทำงานนานขึ้น, และ เสนอให้มีการทบทวนนิยาม “การเริ่มนับอายุของผู้สูงอายุ” ให้เพิ่มมากกว่า 60 ปี และขยายเวลาในการ “เกษียณอายุ” จากการทำงาน
แต่อนิจจา รัฐบาลดูเหมือนจะสนใจนโยบายประชานิยมระยะสั้น (เช่น การแจกเงิน) และธุรกิจการเมือง มากกว่ารากฐานสวัสดิการระยะยาว
ยิ่งไปกว่านั้น คนระดับรัฐมนตรียังได้ให้ข้อมูลต่อสังคมครั้งแล้วครั้งเล่าว่า มีคนไทยเสียภาษีแค่ 4 ล้านคน เพื่อเป็นข้ออ้างของการไม่ต้องทำอะไรที่เป็นรูปธรรมในการปฏิรูปที่จะทำให้ระบบบำนาญพอเพียงเหมาะสมและยั่งยืนมากขึ้น
สรุป การที่รัฐบาลไม่ให้การรับรองร่างกฎหมายเหล่านี้ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับ “เจตจำนงทางการเมือง” ของรัฐบาลว่า ต้องการให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองทางสังคมจริงหรือไม่ หรือกำลังพยายามหลีกเลี่ยงการผลักดันกฎหมายที่อาจกระทบกับผลประโยชน์ทางการเมืองใดๆ
ทั้งที่ นักวิชาการหลายฝ่าย รวมถึงภาคประชาชนและภาคการเมือง มองว่าประเทศไทยควรมีระบบบำนาญพื้นฐาน เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ
เนื่องจากมีการศึกษารองรับแล้วเกี่ยวกับแหล่งงบประมาณและแนวทางดำเนินการ แต่ยังขาดการผลักดันจากระดับนโยบายโดยรัฐบาล
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568