กกร. เข้าพบ นายกอิ๊งค์ 13 มี.ค. 2568 นี้ วางแผนรับมือทรัมป์ 2.0
"สนั่น" ปธ.หอการค้าไทย เผย 13 มี.ค. 2568 นี้ กกร จะเข้าพบ "นายกฯ อิ๊งค์" หารือวางแผนรับมือทรัมป์ 2.0 เร่งเสนอ ตั้งทีมพิเศษ ขณะที่ ม.หอหารค้า ประเมินจากสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้า กระทบไทยทางอ้อม จีดีพี ไทยลดลงไป 0.1-0.5%
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า วันที่ 13 มีนาคม 2568 คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้า แห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย จะมีการเข้าพบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในช่วงบ่าย ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อหารือและวางแผนเตรียมการรับมือนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่สหรัฐฯอาจใช้มาตรการต่าง ๆ กับไทย เช่น มาตรการทางภาษี เพื่อลดขาดดุลการค้ากับไทย
เบื้องต้น กกร. จะเสนอให้รัฐ “ตั้งทีมพิเศษ” ที่ประกอบด้วยตัวแทนจากภาครัฐทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีอำนาจตัดสินใจ และภาคเอกชน เพื่อร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์การเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ อย่างเร่งด่วน ก่อนที่ภาคการส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบ พร้อมเสนอให้ภาครัฐ ชี้แจงสหรัฐฯด้วยว่า ที่ผ่านมา ไทยก็เสียเปรียบดุลการค้าภาคบริการกับสหรัฐฯ เช่น บริการดิจิทัล ค่าบริหารจัดการลิขสิทธิ์ ภาคธนาคาร ภาคประกันภัย การศึกษา ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มองว่า แนวทางหนึ่งที่จะลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ คือ ไทยอาจพิจารณาเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไทยขาดแคลน อย่างเกษตร อาหาร และพลังงาน เช่น พืชอาหารสัตว์ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเหลือง), อาหารทะเล เช่น ปลาแซลมอนแช่แข็ง หอยเชลล์ และปลาทูน่า ซึ่งนอกจากจะลดความกดดันด้านดุลการค้าแล้ว ยังช่วยสนับสนุนการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร
นอกจากนี้ ยังเสนอให้รัฐบาลควบคุมการนำเข้าสินค้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ หรือราคาถูกจนส่งผลต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม โดยเฉพาะตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อป้องกันการปลอมแปลงหรือหลบเลี่ยงภาษี เพราะมาตรการกีดกันการนำเข้าของสหรัฐ จะทำให้สินค้าจากหลายประเทศ ทะลักเข้าสู่ไทย และอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตรและอาหาร เป็นต้น รวมถึงตรวจสอบการใช้ราคาต่ำผิดปกติเพื่อทำลายการแข่งขัน และป้องกันการทุ่มตลาด
พร้อมกันนั้น รัฐควรออกกฎหมายหรือมาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม โดยอาจกำหนดมาตรการปกป้องธุรกิจภายในประเทศจากการทุ่มตลาดของสินค้าต่างชาติ และทบทวนกฎหมายแข่งขันทางการค้าให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงต้องดูแลค่าเงินบาทเพราะประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจใช้กลยุทธ์บริหารค่าเงิน เพื่อลดผลกระทบจากภาษี และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังได้ประเมินสำหรับกรณีที่สหรัฐฯขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโกและจีน ไปแล้วนั้น คาดว่าจะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อไทยคิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 20,000-25,000 ล้านบาท ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไทยลดลงไป 0.1-0.5% ส่วนการขึ้นภาษีรถยนต์จะกระทบกับไทย 60,000-65,000 ล้านบาท ทำให้จีดีพีลดลง 0.35-0.40% ส่งผลให้จีดีพีปีนี้โตได้เพียง 2.6-2.8%
แต่หากทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้าจากไทยและทั่วโลก ประเมินผลกระทบขั้นต่ำไว้ที่จะเกิดกับการส่งออกไทยไว้ที่ 100,000-150,000 ล้านบาท จีดีพีจะลดลง 0.5-0.7% และเศรษฐกิจไทยทั้งปีจะโตได้เพียง 2.3-2.5%
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 10 มีนาคม 2568