"จีน" แถลงเรื่องเอกสารทำเนียบขาวบอกภาษีจีนอยู่ที่ 245% ว่า ไม่มีความสมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจ เป็นแค่เกมภาษีที่ไร้ค่า พร้อมเตรียมตอบโต้อย่างเด็ดขาด

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานอ้างโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนในวันนี้ (17 เม.ย.) ว่า  กรณีทำเนียบขาวของสหรัฐออกเอกสารข้อเท็จจริง (Fact Sheet) เกี่ยวกับการสอบสวนตามมาตรา 232 เมื่อวันที่ 15 เม.ย. ซึ่งระบุว่าจีนจะเผชิญการจัดเก็บภาษีศุลกากรสูงถึง 245% กับสินค้าบางรายการที่นำเข้าสู่สหรัฐนั้น ไม่มีความสมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจ

 

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า จีนแสดงความชัดเจนอย่างมากแล้วว่าการจัดเก็บภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นมากเกินควรของสหรัฐ "กลายเป็นเกมหาตัวเลขที่สะท้อนวิธีการของสหรัฐ ในการใช้ภาษีศุลกากรเป็นอาวุธบีบบังคับและกลั่นแกล้งผู้อื่น" ซึ่งจีนไม่ต้องการทำสงครามเหล่านี้ แต่ก็ไม่กลัวที่จะต่อสู้ พร้อมเสริมว่าไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าและสงครามภาษีศุลกากร

 

โฆษกฯ ระบุว่า จีนจะเมินเฉยหากสหรัฐยังคงเล่นเกมหาตัวเลขนี้ด้วยภาษีศุลกากรต่อไป แต่จีนจะตอบโต้ด้วยมาตรการขั้นเด็ดขาดและจะต่อสู้จนถึงที่สุดหากสหรัฐ ยังคงสร้างความเสียหายต่อสิทธิและผลประโยชน์ของจีน

 

ขณะที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันพุธ (16 เม.ย.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนกล่าวในทำนองเดียวกันว่า สหรัฐกำลังเล่นเกมภาษีศุลกากรที่ไร้ค่า ใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือและอาวุธอย่างไร้เหตุผล โดยจีนแสดงจุดยืนหลายครั้งแล้วในประเด็น "ภาษีศุลกากรตอบโต้" ของสหรัฐ และจะไม่สนใจเกมภาษีศุลกากรที่ไร้ค่านี้ แต่จะดำเนินมาตรการตอบโต้ขั้นเด็ดขาดและต่อสู้จนถึงที่สุด หากสหรัฐดึงดันจะบ่อนทำลายผลประโยชน์ของจีน

 

ทั้งนี้ ในเอกสาร Fact Sheet ของ "ทำเนียบขาว" เรื่องการตั้งสอบแร่สำคัญภายใต้มาตรา 232 ลงวันที่ 15 เม.ย. นั้น มีการระบุข้อความตอนหนึ่งในเรื่อง "การเสริมความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมของสหรัฐ" ว่า

 

"...มีประเทศต่างๆ มากกว่า 75 ประเทศที่ติดต่อเข้ามาเจรจาหารือเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าใหม่ ส่งผลให้ปัจจุบันมีการระงับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น ยกเว้น "จีน" ที่มีการตอบโต้กลับ 

 

ปัจจุบัน จีนเผชิญกับภาษีนำเข้าในอัตราสูงสุดถึง 245% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐอันเป็นผลจากการตอบโต้"

 

อย่างไรก็ตาม ทางทำเนียบขาวและหน่วยงานอื่นๆ ของสหรัฐ ยังไม่มีการชี้แจงตัวเลข 245% นี้ว่าเป็นมาอย่างไร โดยตัวเลขอย่างเป็นทางการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อ้างอิงถึงการเก็บภาษีจีน และสื่อต่างๆ อ้างอิงในปัจจุบันยังเป็นตัวเลขที่ 145% 

 

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

วันที่ 17 เมษายน 2568