เอกชนเชื่อไทยจบดีลภาษีได้ จับตาสงครามการค้าสหรัฐ-จีนฉุดจีดีพีไทยปี 68 ไม่ถึง 3%
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่รัฐบาลไทยเดินทางไปเจรจากับสหรัฐ เรื่องนโยบายภาษีตอบโต้ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานั้น คิดว่าไทยมีความสัมพันธ์ทางการค้าและการเมืองในระดับดีมาตลอด โดยไทยเองก็ไม่เคยใช้ความแข็งกร้าว ในการตอบโต้ แม้ไทยจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบก็ตาม แต่ยังสงวนท่าทีใช้ความนิ่มนวลในการเจรจา อาจจะเป็นจุดที่ทำให้สหรัฐเปิดทางให้เจรจาการค้าได้
นายแสงชัยกล่าวว่า ขณะเดียวกันเชื่อว่าคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาที่นำโดยนายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมกับภาคเอกชน ทำการบ้านไว้อย่างดีแล้ว นอกจากนี้ คิดว่าไทยก็ควรเตรียมพร้อมมาตรการที่ไม่ใช้ภาษี (Non-tariff barriers) ด้วย อาทิ การจัดการการค้ามนุษย์ในแรงงาน หรือปัญหาชาวอุยกูร์ เพื่อตอบคำถามที่อาจจะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นในการเจรจาเพื่อให้เกิดความครบถ้วน
นายแสงชัยกล่าวว่า หลังจากนั้นจะต้องติดตามผลเจรจาและวางแผนเพื่อการรับมือ ซึ่งไม่ใช่แค่ผลการเจรจาของสหรัฐกับไทย แต่ต้องดูผลการเจรจาของสหรัฐกับประเทศอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะจีน ถ้าสุดท้ายจบช่วงเจรจาแล้วมีแค่จีนกับสหรัฐที่ตกลงกันไม่ได้ พร้อมทั้งมีมาตรการตอบโต้กันและกัน หรือจะมีประเทศอะไรบ้างที่ตกลงกันไม่ได้อีก แล้วผลกระทบมาถึงประเทศไทยหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน
นายแสงชัยกล่าวว่า ทั้งนี้ เรื่องของนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐ เป็นสิ่งที่รับรู้กันมานานแล้ว เพียงแต่รอความชัดเจนในเรื่องของรายละเอียดว่าสหรัฐจะปรับขึ้นภาษีศุลกากรประเทศใด เท่าไหร่บ้าง ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยยังตกอยู่ในสภาวะที่เติบโตอย่างไม่น่าพอใจนัก ทั้งในระดับอาเซียนและโลกก็อยู่ในอันดับที่ไม่ดีเท่าไหร่ โดยการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) เติบโตต่ำกว่า 3% ต่อปี
นายแสงชัยกล่าวว่า ซึ่งปี 2568 เองก็คาดว่าน่าจะไม่ถึง 3% เช่นกัน เพราะการส่งออกนั้นเป็นภาคส่วนสำคัญ ที่มีสัดส่วนเกินครึ่งของจีดีพีไทย ส่วนตัวเลขจีดีพีที่ประเมินอย่างชัดเจน ต้องติดตามสถานการณ์หลังจากการเจรจาและหลังครบกำหนด 90 วันที่ภาษีอัตราใหม่จะเริ่มบังคับใช้ ถึงจะระบุได้ว่าจีดีพีคาดการณ์เท่าไหร่ โดยในระดับดีที่สุดก็เชื่อว่าไม่น่าถึง 3% ส่วนแย่ที่สุดทั้งกรณีที่ผลการเจรจาไม่เป็นไปตามต้องการ หรือกรณีที่เกิดสงครามการค้ารุนแรงระหว่างสหรัฐกับจีน อาจจะมีโอกาสเห็นจีดีพีปีนี้เหลือประมาณ 1% ได้
“จีนกับสหรัฐเป็นเบอร์หนึ่งและเบอร์สองของคู่ค้าสำคัญของไทย ไม่ใช่ว่าเราเจรจาและรอดก็คือจะรอดจากวิกฤต เพราะถ้าเรารอดแต่อาเซียนไม่รอด หรือจีนที่ก็ไม่น่าจะเจรจากันได้อยู่แล้ว อาจจะทำให้เกิดสงครามการค้าทั้งที่เป็นภาษีและไม่ใช่ภาษี ฉะนั้น ไม่ใช่เพียงผลเจรจาของไทยกับสหรัฐเท่านั้นที่มีผลต่อการส่งออก เราแต่ผลการเจรจาของคู่ค้าสำคัญของประเทศก็เช่นกัน รวมทั้งไทยก็เป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมายของสินค้าจีน และการลงทุนข้ามชาติ ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลก็ต้องเตรียมพร้อม” นายแสงชัยกล่าว
ส่วนเรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือเรื่องของการแก้หนี้ครัวเรือน มองว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ควรจัดการ การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย อัพสกิลและรีสกิลแรงงาน พร้อมทั้งการเติมสภาพคล่องให้ทั้งผู้ประกอบการ และกระตุ้นเศรษฐกิจในประชาชนรายย่อย นอกจากนี้ ก็ควรมีมาตรการที่เข้มงวดกฎระเบียบเรื่องทุนข้ามชาติ ทุนสีเทา นายทุนต่างชาติกว้านซื้อที่ดินทำการเกษตร ที่อาจจะเขามาเป็นคู่แข่ง แย่งตลาดในประเทศ
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 20 เมษายน 2568