ผู้ส่งออกชาวอินเดียหลายรายเผย ถูกผู้ประกอบการจีนหลายรายขอเจรจาธุรกิจให้ช่วยจัดส่งสินค้าไปยังสหรัฐ

 

บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า บริษัทจีนหลายแห่งพยายามเข้าหาผู้ส่งออกชาวอินเดีย เพื่อหวังเข้าถึงผู้บริโภคชาวสหรัฐ หลังผู้ประกอบการจีนหลายรายต้องเผชิญกับสงครามการค้าครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลต่อวิกฤตการค้าโลก

 

อาเจย์ ซาไฮ (Ajay Sahai) อธิบดีสหพันธ์ผู้ส่งออกแห่งอินเดีย (Federation of Indian Export Organizations) กล่าวว่า ในงานแคนตั้นแฟร์ (Canton Fair) หรือกวางเจาเทรดแฟร์ (Guangzhou Fair) ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้านำเข้าและส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของจีน เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน ถึง 5 พฤษภาคม 2025 มีบริษัทจีนหลายรายเข้ามาพูดคุยให้ผู้ประกอบการชาวอินเดียช่วยจัดส่งสินค้าของจีนไปยังสหรัฐ โดยรายได้จากการขายจะถูกแบ่งมาจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับบริษัทจีน

 

จีนถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 145% ขณะที่อินเดียถูกเรียกเก็บ 10% ซึ่งจะเพิ่มเป็น 26% หากโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ยังดำเนินมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ต่อไป หลังระงับเป็นเวลา 90 วัน

 

อินเดียกลายเป็นตัวเลือกใหม่แทนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่บริษัทจีนแห่พากันย้ายฐานการผลิตในช่วงการดำรงตำแหน่งสมัยแรกของทรัมป์ ผ่านการตั้งโรงงานที่เวียดนาม ซึ่งถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษี 46% หรือส่งสินค้าผ่านประเทศไทยซึ่งถูกเรียกเก็บ 37%

 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอินเดียยังคงมีข้อจำกัดเงินลงทุนจากจีนอย่างเข้มงวด ทำให้บริษัทจีนไม่สามารถดำเนินธุรกิจในอินเดียได้ง่าย ๆ ดังเช่นในประเทศอาเซียน แต่เป็นการขอความร่วมมือให้บริษัทอินเดียจัดส่งสินค้าจีนไปยังสหรัฐแทน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นสินค้าเครื่องมือช่าง เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องใช้ในบ้าน

 

คำขอเจรจาส่งออกเพิ่มขึ้น หลังรัฐบาลอินเดียมีความคืบหน้าในการเจรจากับทางสหรัฐ จากการเยือนอินเดียของ เจดี แวนซ์ (JD Vance) รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งแวนซ์กล่าวว่า นับเป็นยุคใหม่ของความร่วมมือ ซึ่งมีความก้าวหน้าในการเจรจาอย่างมาก และหวังที่จะบรรลุข้อตกลงได้ภายในฤดูใบไม้ร่วงนี้

 

แม้สหรัฐและจีนจะยังคงอัตราภาษี ที่จีนกล่าวว่าเป็นระดับที่สูงจนไร้ความหมายกันต่อไป แต่ทรัมป์ย้ำว่าได้เจรจากับจีนแล้ว แม้ว่าจีนจะปฏิเสธว่าไม่มีการเจรจาใด ๆ เกิดขึ้นเลยก็ตาม ขณะที่ปัจจุบันก็ยังไม่ชัดเจนว่าสหรัฐจะยินยอมให้บริษัทอินเดียเข้ามาแทนที่บริษัทจีนมากน้อยเพียงใด

 

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

วันที่ 28 เมษายน 2568