จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ เมื่อ "การดักจับคาร์บอน" กลายเป็นความหวังใหม่ของโลก
KEY POINTS
* เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยคาดว่าจะขยายตัว 4 เท่าภายในปี 2573 จากการลงทุนมหาศาลและโครงการขนาดใหญ่ทั่วโลก
* CCS มีบทบาทสำคัญในการลดคาร์บอนใน "อุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยคาร์บอนได้ยาก" เช่น การผลิตปูนซีเมนต์และเหล็ก โดยมีบริษัทน้ำมันและก๊าซเป็นผู้ผลักดันหลักในช่วงแรก
* ประเทศไทยกำลังเดินหน้าพัฒนา CCS อย่างจริงจัง ผ่านโครงการของบริษัทพลังงานและอุตสาหกรรมหนัก เช่น ปตท.สผ. และ SCG รวมถึงแผนจัดตั้งศูนย์กลาง CCS ในพื้นที่ EEC
รายงาน Energy Transition Outlook: CCS to 2050 ของ DNV ระบุว่า เทคโนโลยี CCS กำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญ โดยคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าภายใน พ.ศ. 2573 สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการที่น่าจับตามองในอุตสาหกรรมนี้ ยกตัวอย่างเช่น
* Northern Lights โครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและกักเก็บคาร์บอน แบบเปิดแห่งแรกของโลกในนอร์เวย์ ได้รับการขนส่งคาร์บอน เหลวครั้งแรกจาก Heidelberg Materials เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
* STRATOS โรงงานดักจับคาร์บอนจากอากาศโดยตรง (Direct Air Capture: DAC) ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกของ 1PointFive กำลังจะเริ่มดำเนินการในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา
การเติบโตของ CCS ได้รับแรงผลักดันจากการลงทุนมหาศาล โดยคาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า จะมีการลงทุนสะสมในเทคโนโลยีนี้สูงถึงประมาณ 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสองในสามของการเติบโตนี้จะเกิดขึ้นในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป
จุดเด่นที่ทำให้ CCS น่าสนใจ การลดต้นทุนและบทบาทในอุตสาหกรรมหนัก :
การเติบโตอย่างรวดเร็วของ CCS ที่ขับเคลื่อนด้วยนโยบายภาครัฐ คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนโดยรวมได้ถึง 14% ภายใน 2573 โดยเฉพาะในส่วนของต้นทุนการดักจับและค่าใช้จ่ายในการขนส่งและกักเก็บ CCS มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งใน "อุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยคาร์บอนได้ยาก" (hard-to-decarbonize sectors) เช่น การผลิตปูนซีเมนต์ เหล็ก และสารเคมี ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้พลังงานสูงและไม่สามารถเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าได้ทั้งหมด
อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ ผู้นำเบื้องหลังความสำเร็จ :
การพัฒนา CCS ในช่วงแรกเริ่มได้แรงผลักดันจากบริษัทน้ำมันและก๊าซยักษ์ใหญ่ เช่น Northern Lights เป็นกิจการร่วมค้าของ Equinor, Shell และ TotalEnergies ขณะที่ STRATOS ก็มี Occidental เป็นเจ้าของร่วม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของวิศวกรรมและเงินลงทุนมหาศาลที่จำเป็น โดยโครงการ CCS ส่วนใหญ่ในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่การลดคาร์บอนจากอุตสาหกรรมการผลิตไฮโดรคาร์บอน เช่น การแปรรูปก๊าซธรรมชาติ การผลิตไฮโดรเจนและแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ ซึ่งมีข้อได้เปรียบด้านความเข้มข้นของคาร์บอน ที่สูงและมีโครงสร้างพื้นฐานเดิมอยู่แล้ว
อนาคตที่หลากหลาย การประยุกต์ใช้ในแต่ละภูมิภาค :
หลัง พ.ศ. 2573 การเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยคาร์บอนได้ยาก โดยคาดว่าภาคการผลิตจะคิดเป็น 41% ของปริมาณคาร์บอน ที่ถูกดักจับต่อปีในช่วงกลางศตวรรษ การประยุกต์ใช้ CCS จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค:
* ยุโรป: ภาคการผลิต โดยเฉพาะปูนซีเมนต์และสารเคมี
* อเมริกาเหนือและตะวันออกกลาง: การผลิตไฮโดรเจนและแอมโมเนีย
* จีน: โรงไฟฟ้าถ่านหิน
CCS ในภาพรวม ความก้าวหน้าและความท้าทาย :
แม้ DNV จะคาดการณ์ว่า CCS จะสามารถดักจับการปล่อย CO2 ทั่วโลกได้ 6% ภายใน พ.ศ. 2593 (เพิ่มขึ้นจาก 0.5% ใน พ.ศ. 2573) แต่ตัวเลขนี้ยังต้องเติบโตอีกถึง 6 เท่าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแนวทาง Net Zero ของ DNV ซึ่งหมายความว่าการลดการปล่อยมลพิษตั้งแต่ต้นทางยังคงเป็นเรื่องสำคัญ
แต่ในเมื่อเรายังห่างไกลจากเป้าหมายดังกล่าว เทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนจากอากาศโดยตรง (DAC) ที่สามารถดึง CO2 จากบรรยากาศได้ทุกที่ จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยลด "คาร์บอนส่วนเกิน" ที่สะสมอยู่ในบรรยากาศ โดยคาดว่าภายใน พ.ศ. 2593 ประมาณหนึ่งในสี่ของการปล่อยมลพิษที่ถูกดักจับจะมาจากเทคโนโลยีนี้
ไทยกับเส้นทาง CCS โอกาสและความร่วมมือ
ประเทศไทยเองก็กำลังเดินหน้าในเรื่อง CCS อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทพลังงานและอุตสาหกรรมหนัก เช่น
* ปตท.สผ. (PTTEP) มีโครงการศึกษาและพัฒนา CCS ในพื้นที่อ่าวไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการลดคาร์บอนในกระบวนการผลิตก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับรายงานของ DNV ที่ระบุว่า CCS สามารถนำมาใช้ได้ง่ายในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ
* บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ได้ร่วมมือกับบริษัทต่างชาติเพื่อศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยี CCS สำหรับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ลดคาร์บอนได้ยาก
* โครงการจัดตั้ง CCS Hub ในพื้นที่ EEC รัฐบาลไทยกำลังพิจารณาแผนการจัดตั้งศูนย์กลาง CCS ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานรองรับการดักจับและกักเก็บคาร์บอนจากอุตสาหกรรมต่างๆ ในพื้นที่ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการลงทุนและสร้างโอกาสทางธุรกิจในเทคโนโลยีนี้
การเติบโตของ CCS ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันมีสัญญาณเชิงบวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ หรือการที่บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ประกาศเป้าหมาย CCS ของตัวเองอย่างชัดเจน การเข้าซื้อกิจการและการลงทุนในเทคโนโลยีนี้ก็มีให้เห็นบ่อยครั้งมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยี CCS กำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญ หากเราต้องการบรรลุเป้าหมาย Net Zero และยังคงได้รับประโยชน์จากสินค้าที่ผลิตโดยอุตสาหกรรมหนัก การร่วมมือกันเพื่อเร่งการพัฒนา CCS จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 11 สิงหาคม 2568