เตรียมหาเจ้าภาพคุมแรร์เอิร์ท "โรงแต่งแร่" ของไทยติดอันดับส่งออกโลก
แร่แรร์เอิร์ทไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย หลังสถาบันการศึกษา "เกษตรฯ-จุฬาฯ" จับมือ "กรมเหมือง-ทรัพยากรธรณี" ทำวิจัยมาตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว ผลวิจัยยืนยันไทยยังไม่พบแหล่งแร่หายากที่คุ้มค่าต่อการทำเหมืองแร่ แต่ไทยมีศักยภาพในเรื่อง “โรงแต่งแร่” มีการนำเข้าแร่มาแต่งจนเกิดตัวเลขส่งออกแร่หายากติดอันดับโลก แนะหา “เจ้าภาพ” ทำแผนบริหารจัดการแรร์เอิร์ท-แก้ พ.ร.บ.แร่ให้ครอบคลุมแร่สำคัญของประเทศ (CRM)
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลัดดา แต่งวัฒนานุกูล รองหัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แร่แรร์เอิร์ท (Rare Earth) หรือแร่หายากในประเทศไทยที่ผ่านมามีการสำรวจโดยกรมทรัพยากรธรณี เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว พบมีอยู่ 2 ชนิดคือ Monazite กับ Xenotime “แต่ก็มีค่าความสมบูรณ์แร่ไม่สูงพอที่จะคุ้มทุนต่อการทำเหมือง” ต่อมาทางทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถาบันวิจัยนิวเคลียร์ และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ก็ได้มีการเริ่มโครงการสำรวจและทดลองแต่งแร่และสกัดแร่ขึ้น
ปรากฏประเทศไทยสามารถพัฒนาทำต่อได้ทั้ง 2 ส่วน เพราะมีกระบวนการ มี Knowhow โดยในส่วนของการแต่งแร่นั้น เป็นการแยกตามคุณสมบัติแร่ทางกายภาพ ทั้งค่าความถ่วงจำเพาะ การนำไฟฟ้า แม่เหล็ก ซึ่งประเทศไทยนับว่า “เก่งในด้านนี้” ส่วนการสกัดนั้นมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและหลากหลายในการสกัดให้ธาตุบริสุทธิ์ได้ จัดเป็นกระบวนการในโรงงาน
“มหาวิทยาลัยเกษตรฯ เราทำการวิจัยเรื่องแร่แรร์เอิร์ทปีนี้เป็นปีที่ 5 ยอมรับว่าประเทศไทยมีโอกาสสำหรับแร่แรร์เอิร์ท เราสามารถพัฒนาต่อได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎหมายแร่ ซึ่งปัจจุบัน พ.ร.บ.แร่ 2560 ยังไม่ครอบคลุม หรือกล่าวถึงแผนบริหารจัดการเรื่องแร่แรร์เอิร์ทเอาไว้ ดังนั้น ประเทศไทยยังต้องใช้เวลาในเรื่องนี้ และอาจยังไม่จำเป็นต้องรีบ เพราะแรร์เอิร์ทมันจะไม่หายไปไหน อีก 10 ปีก็ยังอยู่กับเรา และเรามีของ เพียงรอโอกาสสำหรับความพร้อมและศักภาพที่มากพอ ซึ่งศักยภาพที่มากพอหมายถึงประเทศไทยเมื่อมีแร่แรร์เอิร์ทแล้วก็ต้องเปิดทำเหมืองได้ด้วย” ผศ.ดร.ลัดดากล่าว
ดังนั้น สิ่งที่ประเทศไทยจะต้องดำเนินการต่อไปก็คือ การสำรวจต่อยอดจากพื้นที่ศักยภาพ ตามกรอบในจังหวัดที่คาดว่าจะพบแร่แรร์เอิร์ทให้มากขึ้น การเตรียมแผนบริหารจัดการแร่แรร์เอิร์ท รวมถึงลิเทียม และการกำหนดแร่สำคัญของประเทศ หรือ Critical Raw Material (CRM) เพื่อเตรียมการในอนาคต ส่วนตัวเลขการส่งออกแร่แรร์เอิร์ทที่กล่าวกันว่าประเทศไทยติด 1 ใน 5 ของโลกนั้น ในส่วนนี้ต้องเข้าใจว่าเป็นการนำเข้าแร่แรร์เอิร์ทเข้ามาแต่งแล้วส่งออก แร่เหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการทำเหมืองในประเทศแต่อย่างใด
ด้านนายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กล่าวว่า ประเทศไทยควรมีการเตรียมการเรื่องการบริหารจัดการกับแร่แรร์เอิร์ท เพราะไทยมีศักยภาพที่มีต่อแร่หายากเหล่านี้ แม้ว่าผลการสำรวจแร่ในประเทศจะยังมีปริมาณน้อย จากข้อมูลของกรมทรัพยากรธรณีที่ระบุไว้ว่า ประเทศไทยมีแร่แรร์เอิร์ทประมาณ 8 ล้านตัน แต่เป็นลักษณะที่กระจายอยู่บนพื้นผิวเปลือกโลกในประเทศ และสามารถพัฒนาทำเหมืองเพื่อสกัดขึ้นมาได้ แต่อาจจะเหลือแค่ 0.1% หรือ 1% ก็เป็นไปได้ “แต่ที่จะเอาขึ้นมาได้จริง ๆ ตอนนี้ยังไม่พบแหล่งที่มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์เลย” นายอดิทัตกล่าว
ส่วนการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับสหรัฐ ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุนนั้น สามารถทำให้ประเทศไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของโลกได้ เนื่องจากประเทศไทยมีความสามารถในการแต่งแร่เพื่อการส่งออก แต่แร่ที่ส่งออกเหล่านี้มาจากการนำเข้าจากต่างประเทศ “ไม่ได้มาจากการทำเหมืองแร่ในประเทศไทย และผมมองว่า MOU ฉบับนี้เป็นโอกาสนะ ที่สหรัฐเห็นศักยภาพของไทย”
นอกเหนือจากการลงนามใน MOU เรื่องแร่แรร์เอิร์ทกับสหรัฐแล้ว ที่ผ่านมาประเทศไทยยังมีกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ที่ กพร.ทำไว้กับหลาย ๆ ประเทศอยู่แล้ว เช่น อาเซียน รัฐมนตรีแต่ละประเทศที่เกี่ยวข้องจะมีการประชุมเรื่องแร่ธาตุและแร่หายากทุก ๆ 2 ปี หรือแม้กระทั่งอินโด-แปซิฟิก ก็มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องนี้กัน
สำหรับการตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการเรื่องแรร์เอิร์ท รวมถึงการปรับแก้ไข พ.ร.บ.แร่ ปี 2560 ให้ครอบคลุมเรื่องของแรร์เอิร์ทให้ชัด และควรมีการกำหนดแร่สำคัญของประเทศ (CRM) แนวทางดังกล่าวเป็น “ข้อเสนอแนะ” จากทางทีมวิจัยของหน่วยงานต่าง ๆ หากสามารถทำได้ทั้งหมด หรือหากมีความจำเป็น ทางกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) “จะรับไว้พิจารณา”
ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยสามารถแต่งแร่แรร์เอิร์ทได้ ส่วนการสกัดเป็นขั้นตอนที่จะต้องใช้กระบวนการทางเคมี ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องกำหนดมาตรการในการควบคุมสารเคมีที่จะใช้สกัดแร่ให้รัดกุม และมีการกำกับดูแลการประกอบการอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการรั่วไหลของสารพิษที่อาจเกิดขึ้นไปสู่สิ่งแวดล้อมหรือชุมชนโดยรอบ รวมทั้งต้องมีการติดตาม ตรวจสอบ เฝ้าระวังอย่างสม่ำเสมอด้วย
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568

