ส่งออกไทย ปี 65 โต 5.5% พาณิชย์ หารือ กกร. เป้าส่งออก ปี 66 โต 1-2%
จุรินทร์ เผยส่งออกไทยปี 2565 ขยายตัว 5.5% มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 287,067.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ เป้าหมายการส่งออกปี 2566 จากหารือกับหอการค้า-สรท.-สอท. มองไว้ที่ 1-2% พร้อมเดินหน้าบุกตลาดตะวันออกกลาง-เอเชียใต้-จีน
วันที่ 24 มกราคม 2566 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยปี 2565 (มกราคม–ธันวาคม) มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 287,067.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 5.5%
และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัว 4.7% ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 303,190.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 13.6% ส่งผลให้ไทยขาดดุล 16,122.8 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าที่ส่งออกได้ดีทั้งปี ได้แก่ น้ำตาลทราย เครื่องโทรสาร อัญมณีและเครื่องประดับ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ไก่แปรรูป ไก่สดแช่เย็น แช่แข็ง เป็นต้น
อย่างไรก็ดี การส่งออกทั้งปี 2565 ที่เติบโตเป็นผลมาจากความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์และเอกชน ร่วมกันผลักดันการส่งออก การเร่งเปิดด่านการค้าชายแดน การเร่งหาแหล่งสำรองอาหารจากทั่วโลก การขนส่งคลี่คลายทั้งมาจาก ค่าระวางเรือ ตู้คอนเทรนเนอร์ที่กลับมาเพียงพอ รวมไปถึงตลาดส่งออกสำคัญที่รุกตลาด เช่น ตะวันออกกลาง มีการเติบโตมากขึ้น
นอกจากนี้ สำหรับเป้าหมายการส่งออกปี 2566 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอม.) เป็นต้น ตั้งเป้าหมายการส่งออกทั้งปี ขยายตัว 1-2% หรือมีมูลค่า 289,938-292,809 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยปัจจัยบวกมากจากการขนส่งสินค้าเข้าสู่ภาวะปกติ ค่าระวางเรือลดลง ตู้คอนเทรนเนอร์คลี่คลายหลังจากการแก้ไขไปแล้ว ความต้องการด้านอาหารของโลกยังคงมีผลดีต่อการส่งออกไทย ตลาดที่มีศักยภาพยังมีความต้องการสินค้า พร้อมกันเดินหน้าบุกตลาดมากขึ้น เช่น ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ ที่มีเป้าหมายขยายตัว 20% CLMV เป้าเติบโต 15% รวมไปถึงจีน
ส่วนปัจจัยกระทบที่ติดตาม เช่น เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดหลัก สหรัฐฯ ซึ่งคาดการณ์ว่า จีดีพี ขยายตัว 0.5-1% ยุโรป จีดีพี ขยายตัว 0.0-.0.5% ญี่ปุ่น จีดีพี ขยายตัว 1.6% ดังนั้น จะมีผลกระทบต่อการส่งออกไทย ขณะที่ มองว่าการส่งออกไตรมาส 1 ยังมีการชะลอตัว ซึ่งเป็นผลมาจากประเทศผู้นำเข้ายังมีสต็อกสินค้าอยู่ ส่งผลให้คำสั่งซื้อใหม่อาจจะชะลอตัว ราคาน้ำมันยังอยู่ระดับสูงไม่มีแนวโน้มลดลง มีผลต่อต้นทุนและการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย ค่าเงินบาทไทยที่แข็งค่าขึ้น ล้วนมีผลต่อศักยภาพในการแข่งขัน เป็นต้น
ขณะที่ การส่งออกของไทยในเดือนธันวาคม 2565 มีมูลค่า 21,718.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (776,324 ล้านบาท) หดตัว 14.6% หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย หดตัว 12.5% ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 22,752.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 12.0% ส่งผลให้ไทยขาดดุล 1,033.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ การส่งออกไทยเดือนธันวาคม 2565 ที่หดตัวเป็นผลมาจากฐานที่สูงในปีที่ผ่านมา แต่เมื่อพิจารณาในแง่ของมูลค่าการส่งออกยังทำได้มากกว่าค่าเฉลี่ยห้าปีย้อนหลัง 20,759.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นผลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง โดยเฉพาะตลาดส่งออกสำคัญของไทย เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป จีน และญี่ปุ่น ซึ่งการส่งออกของหลายประเทศในเอเชียต่างได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยหนุนจาก ค่าระวางเรือลดลงอย่างต่อเนื่อง การดำเนินการตามแผนส่งเสริมการส่งออกเชิงรุกของกระทรวงพาณิชย์ และภาคการท่องเที่ยวทั่วโลก ที่ฟื้นตัวส่งผลให้การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องเพิ่มสูงขึ้น
ส่วนการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัว 11.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และหดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน แต่ยังมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัวดี ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัว 21.6% ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัว 1.5% (ขยายตัวในตลาดซาอุดีอาระเบีย อิสราเอล แคนาดา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และแอฟริกาใต้) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง ขยายตัว 22.8% ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์)
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ข้าว หดตัว 4.1% หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ แต่ขยายตัวในตลาดอิรัก แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น แคเมอรูน และอินโดนีเซีย) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัว 12.4% หดตัวในรอบ 3 เดือน (หดตัวในตลาดจีน ไต้หวัน สหรัฐฯ อินโดนีเซีย และเวียดนาม แต่ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น มาเลเซีย เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์) ยางพารา หดตัว 47.7% หดตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ แต่ขยายตัวในตลาดสโลวีเนีย เยอรมนี เบลเยียม ปากีสถาน และลัตเวีย) น้ำตาลทราย หดตัว 45.4% (หดตัวในตลาดอินโดนีเซีย ไต้หวัน จีน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม แต่ขยายตัวในตลาดกัมพูชา ลาว สิงคโปร์ มาเลเซีย และฮ่องกง) ทั้งนี้ ปี 2565 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 8.8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัว 15.7% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน แต่ยังมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัวดี อาทิ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัว 65.6% ขยายตัวต่อเนื่อง 14 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เม็กซิโก สหราชอาณาจักร และสิงคโปร์) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัว 83.7% ขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม อินเดีย ตุรกี และแคนาดา) รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัว 8.1% ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (ขยายตัวในตลาดเบลเยียม ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ เวียดนาม และอิตาลี)
ขณะที่ สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ หดตัว 17.1% หดตัวในรอบ 5 เดือน (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และเม็กซิโก แต่ขยายตัวในตลาดเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ซาอุดีอาระเบีย และสหราชอาณาจักร) สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัว 25.7% หดตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (หดตัวในตลาดจีน เวียดนาม กัมพูชา อินเดีย และญี่ปุ่น แต่ขยายตัวในตลาดมาเลเซีย ลาว อียิปต์ และแอฟริกาใต้) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) หดตัว 12.4% หดตัวในรอบ 22 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง เยอรมนี อินเดีย และสหราชอาณาจักร แต่ขยายตัวในตลาดฝรั่งเศส อิตาลี ซาอุดีอาระเบีย สวิตเซอร์แลนด์ และเมียนมา) ทั้งนี้ ปี 2565 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 4.4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ดี การส่งเสริมการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ และแนวโน้มการส่งออกระยะถัดไป ดำเนินการเชิงรุกและลึกมากขึ้น เพื่อผลักดันและอำนวยความสะดวก การส่งออก โดยการดำเนินงานที่สำคัญในรอบเดือนที่ผ่านมา อาทิ
(1) การแก้ไขอุปสรรคการค้าชายแดน กระทรวงพาณิชย์เดินหน้าเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน และได้ลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในเดือนธันวาคม 2565 มีจุดผ่านแดนฝั่งไทยเปิดทำการแล้วทั้งสิ้น 72 แห่ง จากทั้งหมด 97 แห่งขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเปิดทำการแล้ว 65 แห่ง
(2) การผลักดันความสัมพันธ์ทางการค้า โดยเดินหน้าจัดทำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (SECA) กับออสเตรเลีย ใน 8 สาขาสำคัญ เช่น เกษตร ท่องเที่ยว สุขภาพ การศึกษา การค้าดิจิทัล เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การลงทุน พลังงานสีเขียว
และช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้า เจรจาปรับปรุงกฎถิ่นกำเนิดและระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง FTA 2 ฉบับสำคัญ ได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA) และความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าให้กับผู้ประกอบการไทย ลดอุปสรรคการใช้สิทธิพิเศษทางภาษี และผ่อนคลายกฎเกณฑ์ให้สอดคล้องกับประเด็นการค้าใหม่ ๆ
แนวโน้มการส่งออกในระยะถัดไป ประเมินว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยหลักที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทยในปี 2566 โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก อาทิ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศยูโรโซน ที่ชะลอตัวลงจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจของตลาดเป้าหมายการส่งออกยังคงเติบโตได้ดี อาทิ เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และ อาเซียน รวมถึงการเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการโควิดเป็นศูนย์ของจีน จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลดีต่อการส่งออกไทย ประกอบกับค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มกลับสู่ภาวะสมดุล
อย่างไรก็ดีมีปัจจัยที่จะต้องติดตาม อาทิ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงตึงเครียด (สหรัฐ-จีน-ไต้หวัน หรือรัสเซีย-ยูเครน) สร้างอุปสรรคด้านการค้าและความเสี่ยงต่อปัญหาห่วงโซ่อุปทาน แนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท และมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้ากับความสามารถในการปรับตัวของ ผู้ส่งออกไทยเพื่อรับมือระเบียบการค้าใหม่ ๆ เป็นต้น
โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ทำงานใกล้ชิดกับภาคเอกชนเตรียมรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ผันผวน โดยมีแผนผลักดันการส่งออกใน 3 ตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพ ได้แก่ ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ และ CLMV ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้เข้าสู่ประเทศชดเชยตลาดหลักที่ชะลอตัว
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 24 มกราคม 2566