"อัตราการเกิดใหม่ต่ำ" ปัญหาท้าทายรัฐบาลญี่ปุ่น-อาเซียน
"อัตราการเกิดใหม่ต่ำ" ปัญหาท้าทายรัฐบาลญี่ปุ่น-อาเซียน ขณะญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับคำถามพื้นฐานว่าจะสามารถพลิกฟื้นจำนวนเด็กเกิดใหม่ที่ลดลงได้อย่างไร และทำได้หรือไม่ซึ่งคำตอบอาจเกี่ยวข้องกับประเทศในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
"ทสึโบโยเนะ"( Tsuboyone)ซึ่งทำหน้าที่จัดหาอุปกรณ์ เครื่องใช้ด้านศิลปะในโอซากาให้ลูกค้ามานาน 70 ปี เตรียมปิดตัวในเดือนหน้า เนื่องจากนักเรียนญี่ปุ่นมีจำนวนลดลงมาก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจผลิตจานสี, ดินสอ, กบเหลาดินสอ, แปรงสี และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่บริษัทจำหน่ายให้กับโรงเรียนและวิทยาลัยด้านศิลปะ
บริษัทเล็ก ๆ แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2492 ปีเดียวกับที่ญี่ปุ่นมีจำนวนเด็กเกิดใหม่สูงถึง 2.69 ล้านคนในช่วงยุคเบบี้บูม หลังสงครามโลก แต่จำนวนเด็กเกิดใหม่เมื่อปีก่อนมีไม่ถึง 800,000 ไม่ถึง 1 ใน 3 ของจำนวนเด็กเกิดใหม่ที่เคยทำสถิติสูงสุด

“ฟูมิโอะ คิชิดะ” นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น พยายามเปลี่ยนแปลงแนวโน้มด้านประชากร ด้วยการให้คำมั่นว่าจะออกมาตรการที่ไม่เคยประกาศใช้มาก่อน แต่เนื่องจากปัญหาประชากรวัยเด็กลดลง ญี่ปุ่นจึงเผชิญกับคำถามพื้นฐานว่า ญี่ปุ่นจะสามารถพลิกฟื้นจำนวนเด็กเกิดใหม่ที่ลดลงได้อย่างไร และทำได้หรือ คำตอบของคำถามนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับประเทศเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังประสบปัญหาเดียวกัน
ญี่ปุ่นเผชิญปัญหาเด็กเกิดใหม่ลดลงมาหลายสิบปีและเคยแก้ไขได้สำเร็จมาแล้ว อีกทั้งนโยบายบางอย่างยังได้รับการชื่นชมจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในปี 2559 เด็กเกิดใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่องมีจำนวนไม่ถึง 1 ล้านคน เป็นครั้งแรกและอีกหกปีต่อมาจำนวนเด็กเกิดใหม่ก็ลดลงอย่างมาก
ปัญหาด้านประชากรศาสตร์ที่เกิดขึ้นในสังคมญี่ปุ่น ทำให้ธุรกิจของทสึโบโยเนะ ขายสินค้าและจ้างงานน้อยลง เนื่องจากในแต่ละปีมีโรงเรียนรัฐบาลประมาณ 430 แห่งปิดตัวลงอย่างถาวรตลอดช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา จนถึงปี 2563
ส่วนแนวโน้มที่น่ากังวลอีกอย่าง ที่เป็นสัญญาณผิดปกติที่นายกรัฐมนตรีคิชิดะแสดงความกังวลคือ เมืองชนบทบางแห่งประสบปัญหาผู้สมัครเลือกตั้งท้องถิ่นไม่เพียงพอ เพราะประชากร 29% มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย
ขณะที่ผลศึกษาบ่งชี้ว่า ผู้ปกครองที่มีศักยภาพมีจำนวนลดลงมากทั้งยังระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายเงินมากขึ้นด้วย เพราะไม่มั่นใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศ โดยผลศึกษาปี 2564ของสถาบันวิจัยประชากรและความปลอดภัยสังคมแห่งชาติญี่ปุ่น พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 53% มีต้นทุนค่าเลี้ยงดูลูกเพิ่มขึ้น รวมถึงค่าเล่าเรียน และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่หลายคนเลือกที่จะไม่มีบุตรหรือมีบุตรน้อยลงส่วนอีก 40%เป็นกลุ่มคนที่มีอายุมากเกินกว่าที่จะมีบุตรได้
นายกรัฐมนตรีคิชิดะ เน้นย้ำเสมอถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาเด็กเกิดใหม่ลดลงและนโยบายเกี่ยวกับการเลี้ยงบุตร ถือเป็นความท้าทายที่ไม่สามารถผลัดผ่อนออกไปได้อีก
“เราต้องสร้างสังคมเศรษฐกิจลูกคนแรกและฟื้นอัตราการเกิดให้มากขึ้น” คิชิดะ กล่าว
รัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การบริหารของคิชิดะ ประกาศแผนเพิ่มงบประมาณให้กับนโยบายต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูบุตรเป็นสองเท่า โดยมุ่งเน้นไปที่สามเสาหลัก คือการหนุนเศรษฐกิจ บริการดูแลเด็กและปรับรูปแบบการทำงานของมนุษย์เงินเดือน
ปัจจุบัน รัฐบาลญี่ปุ่นเสนอเงินช่วยเหลือเดือนละ 10,000-15,000 เยนแก่เด็กแต่ละคน จนกว่าจะเรียนจบจากโรงเรียนมัธยมต้น แต่สำหรับครอบครัวที่มีรายได้สูงจะมีข้อจำกัดบางประการ
เจ้าหน้าที่รััฐบาลญี่ปุ่น กล่าวว่า เสาหลักที่สองจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งด้านปริมาณและคุณภาพของการดูแลเด็ก ที่รวมถึงการดูแลเด็กหลังเลิกเรียน และการบริการด้านต่างๆสำหรับเด็กเจ็บป่วย รวมทั้งการขยายการบริการหลังการคลอดบุตร
เสาหลักที่สามมีแนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงระบบการลาคลอด และขั้นตอนต่างๆที่จะช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานที่เอื้อให้พนักงานมีบุตรได้มากขึ้นและง่ายขึ้น
“เคนตะ อิซูมิ” หัวพรรครัฐธรรมนูญประชาธิปไตยญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ให้ความเห็นว่า ยังมีปัญหาสำคัญอื่น ๆ ที่ต้องจัดการเพื่อแก้ปัญหาประชากรเกิดใหม่ต่ำ จึงเรียกร้องให้ปรับปรุงระบบการศึกษาระดับสูง เช่น ให้เรียนระดับมหาวิทยาลัยฟรีหรือจ่ายค่าเรียนให้น้อยลง และตรวจสอบทุนการศึกษาที่ปล่อยกู้ ซึ่งทำให้เด็กนักเรียนมีภาระหนี้สิน อีกทั้งขอบเขตงานบ้านและการดูแลลูกตกอยู่กับผู้หญิง อิซูมิจึงแนะนำให้เปลี่ยนทัศนคติ โดยให้ผู้ชายมีส่วนร่วมด้วย

ด้านสำนักงานบริหารมหานครโตเกียว ประกาศมาตรการหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือให้เงินช่วยเหลือ 5,000 เยน/เดือน แก่เด็กทุกคนจนถึงอายุ 18 ปี โดยไม่คำนึงถึงรายได้ครัวเรือน และจะเริ่มจ่ายเงินให้ในเดือนม.ค. ปี2567
“ทาคุมิ ฟูจินามิ” นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสระดับสูงจากสถาบันวิจัยญี่ปุ่น (เจอาร์ไอ) กล่าวว่า ค่าจ้างแรงงานที่ยังต่ำ และการเปลี่ยนแปลงในการจ้างงานตลอดชีวิตเพื่อทำงานชั่วคราวมากขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้อัตราการเกิดของประชากรลดลง
แต่ไม่ได้มีแค่ญี่ปุ่นประเทศเดียวที่เจอปัญหานี้ รัฐบาลประเทศอื่น ๆ ต่างก็พยายามแก้ปัญหาจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลง ด้วยมาตรการหลายอย่าง เพื่อให้บรรลุผลในระดับต่าง ๆ
เช่นเกาหลีใต้เพิ่มแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลจ่ายเงิน 700,000 วอน/เดือน (18,600 บาท/เดือน) ให้กับครอบครัวที่มีลูกเล็กมากกว่า 1 คน และจะเพิ่มงบ 1 ล้านวอนในปีต่อไป โดยเกาหลีใต้มีอัตราการเจริญพันธุ์เพียง 0.87 คน
ส่วนบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอัตราการเจริญพันธุ์ลดลงเรื่อย ๆ โดยอัตราเจริญพันธุ์ของไทยในปี 2565 คาดว่าอยู่ที่ 1.32 คน ลดลงจาก 1.59 คน จากเมื่อสิบปีก่อน ขณะที่มาเลเซียอยู่ที่ 1.79 คน ลดลงจากเดิม 2.12 คน
“เมื่อจำนวนเด็กเกิดใหม่ตกต่ำอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2573 ญี่ปุ่นต้องสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยให้แก่การดูแลลูก ๆ ของคนรุ่นใหม่ จึงจะช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้” ฟูจินามิ กล่าว
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566