วาเลนไทน์ คึกคักสุดรอบ 5 ปี เงินสะพัดกว่า 2,500 ล้านบาท ท่องเที่ยวชูโรงดันเศรษฐกิจ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยกล่าวเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ว่า ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจได้สำรวจการใช้จ่ายช่วงวาเลนไทน์ 14 ก.พ.67 นี้ พบว่า
จะมีเงินสะพัด 2,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 จากปี 66 ที่มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 2,385 ล้านบาท คึกคักสุดในรอบ 5 ปี ขณะที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน 2,125 บาท จากปี 66 ที่ 1,847 บาท แม้ตัวเลขการใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจ แต่เป็นการขึ้นโดยราคาสินค้าและอื่นๆสูงขึ้นตาม ซึ่งคนกลุ่ม Gen Z ที่มีอายุ 13-23 ปี จะให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์มากที่สุดการซื้อของขวัญมอบให้คนรัก มีการทานข้าวนอกบ้าน ซื้อดอกไม้ ไปดูหนัง และไปบ้านแฟน
ทั้งนี้ มองว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มค่อยๆๆฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาสแรก แม้จะยังไม่มากนัก แต่จะเริ่มดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 เพราะน่าจะมีเม็ดเงินงบประมาณในปี 67 ที่จะเริ่มการเบิกจ่ายจะทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป และหากผลประชุมคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตในวันที่ 15 ก.พ.นี้ ออกมาเดินหน้าต่อก็เชื่อว่าจะเสริมสภาพคล่องทางเศรษฐกิจได้ดี
โดยคาดว่าเศรษฐกิจปีนี้ที่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองจีดีพีจะโตได้ร้อยละ 3-3.5 หากมีดิจิทัลวอลเล็ตเข้ามาจะทำให้จีดีพีปีนี้เกินร้อยละ 4 ได้แน่นอน ดังนั้น กิจกรรมในเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้ ทั้งเทศกาลตรุษจีน วาเลนไทน์และวันมาฆบูชา น่าจะทำให้มีเงินสะพัดมากกว่า 80,000-90,000 ล้านบาทที่จะเข้าระบบเศรษฐกิจไทย
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ภาคการท่องเที่ยวจะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย สะท้อนจากดัชนีท่องเที่ยวปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 แม้ยังไม่ได้เป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการฟื้นตัวครบทุกภาคส่วน แต่เป็นหนึ่งประสานที่ทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้มีแรงขับเคลื่อนต่อไปได้ จากทั้งหมด 4 ประสาน คือ การท่องเที่ยว การส่งออก ราคาสินค้าเกษตร และงบประมาณรายจ่ายที่จะออกมา
ทำให้แม้ไม่มีดิจิทัลวอลเล็ต แต่ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยก็ยังเติบโตได้ จาก 4 ประสาน ทั้งการส่งเสริมการท่องเที่ยว การส่งออก โดยเฉพาะพืชผลเกษตรที่ราคาดี
จึงคาดว่าปีนี้จีดีพีไทยน่าจะโตได้มากกว่า 3% เป็นระยะปลอดภัย ที่ไม่มีปัญหาอะไร ยังเติบโตได้ดี แต่อยู่ที่ว่าจะพอใจในการเติบโตระดับดังกล่าวนี้หรือไม่ โดยหากต้องการให้โตได้มากกว่า 4% ปัจจัยที่จะช่วยให้เศรษฐกิจโตเร็วขึ้น คือ ดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจโตได้เร็วขึ้น
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า สำหรับนโยบายอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินว่า กนง.จะต้องพิจารณาอย่างละเอียดและรอบด้าน ทั้งแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ สถานการณ์เศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางการเงิน
ซึ่งหากเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น กนง.อาจตัดสินใจไม่ปรับลดดอกเบี้ยลง แต่หากเห็นสัญญาณการทรุดตัวของเศรษฐกิจ กนง.ก็มีโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงได้ ซึ่งมติที่ประชุม กนง.ล่าสุดที่เสียงออกมาไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ย 5 เสียง และลดดอกเบี้ย 2 เสียง ทำให้เห็นโอกาสที่ กนง.จะลดดอกเบี้ยในระยะต่อไปมีมากขึ้น
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567