ส.อ.ท. วอนแก้ กม.ล้าสมัยพันฉบับเซฟ 2 แสนล้าน จี้กรมศุลตรวจสินค้าทะลักไทย
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงกรณี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หารือร่วมกับกรมสรรพากร คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เข้าหารือเกี่ยวกับการปลดล็อกกฎระเบียบเพื่อดึงดูดการลงทุนไทยว่า ต้องขอบคุณนายเศรษฐาที่รับฟังเสียงสะท้อนจากภาคเอกชน เดินหน้าลดอุปสรรคการลงทุนที่เอกชนทั้งไทยและต่างชาติเผชิญในปัจจุบัน
ที่ผ่านมา ส.อ.ท.ได้เสนอโพซิชั่นเปเปอร์ หรือเอกสารแสดงจุดยืน ที่นำเสนอแนวทางพัฒนาประเทศ 3 ด้านหลัก คือการเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ การผลักดันจีดีพีไทยให้โต 5% ต่อปีตามนโยบายรัฐบาล และการเดินหน้าสู่เน็ตซีโร โดยทั้งหมดนี้จะมี 8 ข้อย่อย หนึ่งในนั้นหัวข้อสำคัญคือการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน หรืออีส ออฟ ดูอิ้ง ฟิซซิเนส
“ถือว่านายเศรษฐารับเรื่องเร็วและเดินหน้าจริงจัง เรียกหน่วยงานต่างๆ หารือ เอกชนคาดหวังให้การทำงานร่วมกันของรัฐและเอกชนครั้งนี้ทำให้การลงทุนของไทยเติบโต อุปสรรคการลงทุนหมดไป” นายเกรียงไกรกล่าว
นายเกรียงไกรกล่าวว่า มีประเด็นการแก้กฎหมายล้าหลัง อยากให้รัฐบาลเร่งพิจารณา เพราะปัจจุบันไทยมีกฎหมายที่บังคับใช้ในภาคธุรกิจกว่า 100,000 ฉบับ ที่ผ่านมาคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ลงขันกันจ้างต่างชาติซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรับปรุงกฎหมายซึ่งเคยปรับปรุงกฎหมายเกาหลีจนเศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดในปัจจุบัน ทำงานร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เลือกกฎหมายสำคัญประมาณ 1,000 ฉบับ หรือประมาณ 1,000 กระบวนงาน จาก 16 กระทรวง 40 กรม มาปรับปรุงให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันพบว่าสามารถลดต้นทุนการทำธุรกิจได้ถึง 200,000 ล้านบาท ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ประเทศไทยโดยรัฐบาลควรเร่งเดินหน้า และอยากให้ทำงานร่วมกับภาคเอกชนที่ศึกษาเรื่องนี้มานานพอสมควร
นายเกรียงไกรกล่าวถึงกรณีกระทรวงการคลังกำลังพิจารณาทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) สำหรับสินค้านำเข้าที่ไม่เกิน 1,500 บาท ว่า เรื่องนี้เป็นข้อเสนอของ กกร.ในการประชุมช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ดังนั้น ต้องขอบคุณนายเศรษฐา ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่รับลูกเรื่องเร็ว คาดว่าอาจมีการหารือร่วมกันระหว่างรัฐบาลและ กกร.ในเร็วๆ นี้ เพื่อแก้ปัญหานี้อย่างจริงจรัง
นายเกรียงไกรกล่าวว่า ปัจจุบันสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่เข้ามาตีตลาดสินค้าไทยมาจาก 3 ส่วนคือ
1.สินค้าออนไลน์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มราคาไม่เกิน 1,500 บาท กลุ่มนี้นำเข้ามาเยอะมาก และปัจจุบันเจอปัญหาสำแดงราคาเท็จ จึงยิ่งกระทบต่อสินค้าไทย
2.สินค้าที่เข้ามาทุ่มตลาดในไทย สาเหตุหนึ่งมาจากการที่ไม่สามารถขายในตลาดปกติได้ อาทิ สหรัฐอเมริกา จึงหันมาส่งขายในอาเซียนแทน นอกจากนี้ยังพบหลายสินค้ามีการปรับเปลี่ยนพิกัดเพื่อเลี่ยงภาษี อาทิ กลุ่มสินค้าเหล็ก ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งแก้ไข และ 3.สินค้าที่ตั้งใจสำแดงเท็จ อาทิ กรณีหมูเถื่อน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า
นายเกรียงไกรกล่าวด้วยว่า ประเด็นสำแดงเท็จอยากให้กรมศุลกากรเข้มงวดในการตรวจสอบ เพราะถือเป็นด่านแรกในการปกป้องผู้บริโภคและปกป้องสินค้าไทย ซึ่งจากการหารือกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) พบว่า น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง แต่หากสินค้าไม่มีคุณภาพเข้ามาจำนวนมาก สมอ.ก็คงตรวจสอบไม่ไหว ดังนั้น ต้องให้กรมศุลกากรสกัดให้ได้ก่อนเข้าประเทศไทยจะเหมาะสมที่สุด เพราะสถานการณ์ปัจจุบันไทยกำลังเผชิญกับภัยความมั่นคงทางเศรษฐกิจประเทศ ซึ่ง ส.อ.ท.สะท้อนเรื่องนี้มานานแล้ว
ด้าน นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า อยากให้กรมศุลกากรตรวจสอบสินค้านำเข้าก่อนปล่อยเข้าประเทศไทยอย่างละเอียด เพราะปัจจุบันจากเสียงสะท้อนของผู้ประกอบการไทยพบว่ากรมศุลลากมักเข้มงวดกับสินค้าส่งออกมากกว่าสินค้านำเข้า จึงอยากให้ปรับแนวทางการทำงานเพื่อปกป้องสินค้าไทย เศรษฐกิจไทย ขณะที่การทำงานของ สมอ.ในการกำหนดมาตรฐานบังคับเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคถือเป็นเรื่องดี แต่กระบวนการค่อนข้างใช้เวลาประมาณ 1 ปี ตอนนี้เครื่องมือที่เร็วสุดจึงอยู่ที่กรมศุลกากร
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567