เมื่อตะวันตกแห่ย้ายหนี การลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เข้าจีนต่ำสุดในรอบ 30 ปี
ปี 2023 เป็นปีที่เห็นภาพของการที่นักลงทุนต่างชาติแห่หนีจากจีนชัดเจนที่สุด ดังที่มีข้อมูลรายไตรมาสออกมาให้เห็นตลอดปี และล่าสุดมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นทางการแล้วว่า ในปี 2023 มูลค่าการลงทุนโดยตรงของธุรกิจต่างชาติ (FDI) ในจีนน้อยที่สุดในรอบ 30 ปี เป็นการเน้นย้ำว่าบริษัทต่างชาติได้หนีออกจากจีนไปแล้วจำนวนมาก และบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป
ข้อมูลจาก สำนักงานบริหารเงินตราต่างประเทศของจีน (SAFE) ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาระบุว่า การลงทุนของบริษัทต่างชาติในจีนปี 2023 มีมูลค่าสุทธิ 33,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงประมาณ 82% จากปี 2022 และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 30 ปี นับตั้งแต่ปี 1993
มูลค่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของจีนทั้งปียังสุทธิเป็น “บวก” หรือ “เกินดุล” เนื่องจากมูลค่าการเข้าไปลงทุนใหม่ในจีนยังมากกว่ามูลค่าการลงทุนที่ถอนออก โดยได้แรงพยุงจากไตรมาสสุดท้ายที่เม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามากกว่าไหลออก 17,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่จีนขาดดุล FDI รายไตรมาสเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในไตรมาสที่ 3
ถึงแม้จะยังได้ดุล FDI อยู่ก็ตาม แต่มูลค่า FDI ในจีนก็ลดลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันแล้ว บ่งชี้ชัดถึงผลกระทบจากการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ
การที่สหรัฐกีดกันไม่ให้จีนเข้าถึงเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง ส่งผลต่อ FDI ของจีนอย่างชัดเจน จากข้อมูลของบริษัทวิจัย “โรเดียม กรุ๊ป” ระบุว่า ในปี 2021 จีนกินส่วนแบ่ง FDI ที่เกี่ยวข้องกับชิปมากถึง 48% ของทั้งโลก แต่ในปี 2022 จีนได้ส่วนแบ่ง FDI ในส่วนนี้ไปเพียง 1% เท่านั้น
หากพิจารณาจากตัวเลขในปี 2022 กลุ่มประเทศที่ลงทุนในจีนน้อยลง คือ “ชาติตะวันตก” ขณะที่ประเทศที่ลงทุนในจีนเพิ่มขึ้นคือประเทศในเอเชีย ซึ่งครองส่วนแบ่งถึง 78% ของการลงทุนใหม่ในจีนในปี 2022
FDI ในจีนที่ลดน้อยลงไม่ได้เป็นเพียงผลจากการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ปัจจัยภายในของจีนเองที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจของต่างชาติก็เป็นปัจจัยที่ผลักธุรกิจต่างชาติออกจากประเทศมากเช่นกัน
อย่างที่มีการพูดกันมาแล้วหลายครั้งว่า มุมมองของต่างชาติที่มีต่อจีนนั้นไม่ดีและยังไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น เพราะต่างชาติเห็นว่าคำพูดกับการกระทำของจีนขัดแย้งกันเอง จีนพยายามฟื้นความเชื่อมั่นเพื่อดึงต่างชาติ โดยบอกว่าจะปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เป็นมิตรกับต่างชาติมากขึ้น แต่กลับให้ความสำคัญกับการปกป้องความมั่นคงของชาติมากขึ้น โดยดำเนินมาตรการปราบปรามและสอดแนมธุรกิจต่างชาติในบางอุตสาหกรรม
โดยทั่วไปแล้ว บริษัทในสหรัฐและยุโรปมักทำการศึกษาวิจัยอย่างละเอียดเกี่ยวกับเงื่อนไขทางธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน แต่การศึกษาวิจัยในจีนของหลายบริษัทต้องล่าช้าเนื่องจากกฎหมายต่อต้านการจารกรรมฉบับแก้ไข ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคม 2023 ก็ทำให้บริษัทชะลอการลงทุนหรือหันไปลงทุนในประเทศอื่นแทน
นอกจากนี้การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ตอนแรกดูเหมือนจะเกิดขึ้นระยะสั้น ๆ แต่กลับดำเนินอยู่ยาวนานกว่าที่คาด ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บริษัทต่างชาติงดเว้นการลงทุนในจีน
ด้วยความตระหนักถึงความเสี่ยงที่บริษัทต่างชาติจะหนีหาย เมื่อเดือนที่แล้วรัฐบาลจีนจึงได้ผ่อนคลายข้อกำหนด “รายได้ขั้นต่ำ” ของบริษัทต่างชาติที่จะเข้าไปทำกิจการร่วมค้าในจีนภายใต้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด เพื่อให้การเข้าซื้อกิจการในจีนทำได้ง่ายขึ้น ด้วยความหวังว่าจะทำให้ตลาดจีนมีความน่าสนใจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทต่างชาติยังมีความกังวลกับความไม่แน่นอนว่าจีนจะดำเนินนโยบายอย่างไร บวกกับเหตุผลเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจจีนเอง ก็นับว่า ณ เวลานี้ จีนยังไม่กลับมาเป็นประเทศที่เย้ายวนใจให้นักลงทุนต้องแห่เข้าไปเหมือนในอดีต
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 21 กุมภาพ้นธ์ 2567