ชาวอาเซียนเข้าไปเที่ยวประเทศจีนมากกว่าก่อนโควิดหลายเท่า หลัง 3 ชาติ คือ ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ได้วีซ่าฟรีหรือการยกเว้นวีซ่าเข้าแดนมังกร 

 

บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2024 ว่า จีนกำลังฟื้นสถานะเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งถูกล่อใจโดยโปรแกรมยกเว้นวีซ่า และการเข้าถึงระบบการชำระเงินแบบไร้เงินสดของจีนแผ่นดินใหญ่ได้ง่ายขึ้น

 

อีธาน ลิน (Ethan Lin) ผู้บริหารระดับสูงของแพลตฟอร์มจองการท่องเที่ยว “คลูก” (Klook) กล่าวในการให้สัมภาษณ์ในงาน ยูบีเอส เอเชียน อินเวสต์เมนต์ คอนเฟอร์เรนซ์ (UBS Asian Investment Conference) ในฮ่องกงว่า นับจากต้นปี 2024 จนถึงตอนนี้ ยอดการจองจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเที่ยวในจีนแผ่นดินใหญ่นั้นสูงกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 หลายเท่า

 

ลินคาดการณ์ว่า การเดินทางขาเข้าไปยังจีนแผ่นดินใหญ่โดยรวมจะฟื้นตัวเต็มที่เท่าตัวเลขก่อนเกิดโควิด-19 ได้ภายในปี 2568 

 

เขาแสดงความเห็นว่า ผู้คนจากบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่มีสถานที่มากนักที่พวกเขาสามารถเดินทางไปได้โดยไม่ต้องงขอวีซ่า ซึ่งตอนนี้จีนได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญชาวอาเซียนเดินทางไปเที่ยว

 

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จีนได้ผ่อนคลายข้อจำกัดด้านวีซ่าสำหรับประชาชนจากไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ตลอดจนประเทศในยุโรปบางประเทศ และผู้โดยสารเรือสำราญ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจีนมีความพยายามในการกระตุ้นทั้งการท่องเที่ยวและการลงทุนขาเข้า

 

นอกจากนั้น จีนยังได้เริ่มผ่อนคลายการเข้าถึงระบบการชำระเงินแบบไร้เงินสดในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ก็อาจจะไม่เป็นมิตรกับผู้คนที่ไม่มีบัญชีธนาคารและแอพพลิเคชันชำระเงินของจีน

 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เจ้าหน้าที่ทางการจีนได้เตือนโรงแรมและโฮสเทลไม่ให้ปฏิเสธลูกค้าจากต่างประเทศ เพราะพบว่าผู้ให้บริการที่พักรายย่อยบางรายมักปฏิเสธลูกค้าต่างชาติ เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์ครบครันหรือไม่ได้รับใบอนุญาตให้เปิดที่พัก

 

ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนระบุว่า จีนรายงานจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ (นับรวมฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน) ที่ไปเยือนจีน 82 ล้านคนในปี 2023 ซึ่งกลับมาอยู่ที่ประมาณ 56% ของระดับในปี 2019 ก่อนที่โรคระบาดโควิด-19 จะปิดพรมแดนจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเป็นผู้นักท่องเที่ยวจากนอกฮ่องกงและมาเก๊า  13.8 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งยังน้อยกว่าตัวเลขก่อนเกิดโควิดประมาณ 57%

 

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

วันที่ 30 พฤษภาคม 2567