ส.อ.ท. วอนรัฐลดค่าไฟ หวั่นธุรกิจ สู้เพื่อนบ้านไม่ไหว ฉุดลงทุน เอสเอ็มอีกระอัก สินค้าจีนยิ่งตีตลาด
เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงกรณี สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) มีแผนจะปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร(ค่าเอฟที) งวด กันยายน-ธันวาคม ปี 2567 ว่า ส่วนที่จะได้รับผลกระทบหนักคือ โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ใช้ไฟฟ้าเยอะ เพราะฉะนั้น ปัญหาค่าไฟฟ้าที่ส.อ.ท. พูดมาตลอดคือ ต้องการให้ภาคอุตาสหกรรมแข่งขันได้ในเชิงเปรียบเทียบ กับคู่แข่งในภูมิภาค โดยเฉพาะ เวียดนาม กับอินโดนีเซีย ที่เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ในภูมิภาคเรา มีสินค้าหลายอย่างที่เหมือนกับไทย
นายเกรียงไกร กล่าวว่า โดยค่าไฟของเวียดนามอยู่ที่ 2.7 บาทต่อหน่วย ขณะที่อินโดนีเซียอยู่ที่ 3.33 บาทต่อหน่วย ส่วนของไทยนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย ซึ่งสูงอยู่แล้ว และ 3 แนวทางการปรับขึ้นค่าไฟ ของสำนักงาน กกพ. ไม่ว่าผลสรุปจะเลือกทางใดก็มีต้องมีการปรับขึ้นทั้งหมด ซึ่งขึ้นต่ำสุดคือ 0.50-0.60 บาทต่อหน่วย และกรอบที่แพงสุดคือ ไปถึงหลัก 6 บาทต่อหน่วย
“เพราะฉะนั้น ส.อ.ท. รวมไปถึง คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ขอวิงวอนให้ภาครัฐ ช่วยลดค่าไฟ เพราะแค่ราคาค่าไฟ ปัจจุบัน 4.18 บาทต่อหน่วย ก็สู้เขาไม่ได้แล้ว ซึ่งนอกจากคนไทยสู้ไม่ได้แล้ว ยังทำให้ต่างชาติที่จะมาลงทุนในไทย ต้องพิจารณาหนักที่จะเข้ามาลงทุน ทำให้เราเสียโอกาสไปด้วย ดังนั้น การปรับขึ้นค่าไฟมีผลกระทบแน่นอน”นายเกรียงไกร กล่าว
นายเกรียงไกร กล่าวว่า โดยหลังจากที่มีการปรับขึ้นค่าไฟ ผู้ประกอบการที่ยังไหวก็จะต้องกัดฟันสู้ไปอีกพัก ขณะที่สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ โดยจีน ก็รอจ่ออยู่ ถ้าของในประเทศแพงขึ้น ก็ยิ่งเป็นช่องว่างให้เกิดการไหลเข้ามาของสินค้านำเข้าราคาถูกอีกจำนวนมาก ซึ่งก็จะกระทบผู้ประกอบการไทยแน่นอน โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ที่สายป่านสั่น
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ทั้งนี้ ตัวเลขที่น่าเป็นห่วง และน่าจับตา คือเรื่องของการเลิกกิจการของโรงงานในไทย 5 เดือนแรกของปี 2567เมื่อเทียบกับปีที่แล้วนั้น ส่วนใหญ่โรงงานที่ปิดตัวไป เป็นกิจการขนาดเล็กลง สะท้อนให้เห็นว่า เอสเอ็มอีไปไม่ไหวแล้ว และยิ่งถ้ามีต้นทุนเพิ่มขึ้น ยังไม่รวมถึงค่าแรงขั้นต่ำที่กำลังจะปรับขึ้น ก็จะยิ่งทำให้เอสเอ็มอียิ่งแย่ลงอีก
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 17 กรกฏาคม 2567