"ทุนจีน" ทะลักไม่หยุด SME ไทยส่อตายเรียบ
ท่ามกลางความหวังว่า "ดิจิทัล วอลเล็ต" ที่รัฐบาลเศรษฐาจะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนวันแรก 1 ส.ค.นี้ และเริ่มใช้ได้จริงราวไตรมาสสุดท้ายของปีจะสร้าง "พายุหมุน" 4 ลูกในทางเศรษฐกิจ ปลุกกำลังซื้อของคนไทยให้กลับมาคึกคักอีกรอบ
แต่กว่าจะถึงจุดนั้น อยากเตือนให้รัฐบาลเฝ้าระวัง “มหาพายุ” ของทุนจีนที่กำลังถาโถมถล่มผู้ประกอบการไทยแบบไม่มีวี่แววว่าจะอ่อนกำลังลงเลย
เวลานี้จะเห็นว่าสินค้าจีนทะลักไทยยิ่งกว่ามหาพายุ มาทุกช่องทางที่เห็นโอกาสในการกวาดเงินคนไทย ล่าสุด Temu อีคอมเมิร์ซรายใหญ่จากจีนในเครือ Pinduoduo ที่เคยหาญกล้าท้าชนยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon จนผู้คนชาวอเมริกาติดกันงอมแงมเพราะราคาสินค้าสุดแสนจะถูก ได้มาลงหลักปักฐานในไทยเป็นที่เรียบร้อย
ที่น่ากลัวสุดของแพลตฟอร์มนี้ คือ สินค้าส่งตรงจากร้านค้าชาวจีนเอง ดังนั้นการันตีความถูกอย่างแน่นอน
ประเด็นที่เราห่วง คือ ผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อยที่รับสินค้าจากจีนมาขายในไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็โดนสินค้าจีนรุกหนักผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันเรียกว่าหนักพออยู่แล้ว แต่หลังจากนี้น่าจะเจอศึกใหญ่ที่หนักกว่าเดิมอีกมากๆ ...และที่สำคัญระยะหลัง “ทุนจีน” ไม่ได้มาเฉพาะในรูปของสินค้าอุตสาหกรรมหรืออุปกรณ์เครื่องใช้เหมือนในอดีตเท่านั้น แต่ยังมาในรูปของสินค้าบริการด้วย
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ เราเพิ่งจะเห็นทุนจีนที่มาในรูปของ “แฟรนไชส์” มาเปิดบนห้างดัง ขายไก่ทอดในราคาเพียงชิ้นละ 15 บาท เรียกว่าถูกพอๆ กับร้านค้าในตลาดนัดทั่วไปเลย นอกจากไก่ทอดแล้ว ยังมีเมนูยอดนิยมอย่าง เฟรนซ์ฟรายและเนกเก็ตก็ขายเพียงแค่ 20 บาทเท่านั้น
แน่นอนว่าในมุมของผู้บริโภคแล้ว ย่อมเป็นเรื่องดี เพราะมีสินค้าราคาถูกให้เลือกบริโภค แต่ถ้ามองในฝั่งของผู้ประกอบการ บอกได้เลยว่าเดือดร้อนแน่ๆ เพราะถ้าต้นทุนไม่ถูกจริง ไม่มีทางสู้ได้เลย
ด้วยเหตุนี้จึงมีนักวิชาการหลายๆ คนออกมาแสดงความเป็นห่วงผู้ประกอบการชาวไทย ว่าจะรับมือกับทุนจีนที่ถาโถมเข้ามาอย่างไร เราเห็นว่าเรื่องนี้น่ากังวลกว่าที่คิด เพราะอนาคตไม่รู้เลยว่าจะมีแฟรนไชส์ร้านค้าหรือร้านอาหารอะไรจากจีนเข้ามาทำตลาดในราคาถูกอีกบ้าง แน่นอนว่าทุนจีนมักได้เปรียบในเรื่องของ Economies of Scale และกลยุทธ์ส่วนใหญ่ เน้นไปที่การขายราคาถูก เข้าถึงง่าย มุ่งขยายสาขาอย่างรวดเร็วโดยไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่เยอะ
ดังนั้นร้านค้าหรือร้านอาหารคนไทยที่เป็นคู่แข่งทางตรง หรือแม้แต่ทางอ้อม หากคุณภาพไม่ดีจริง บอกเลยว่าอยู่ยาก ...ลำพังแค่เศรษฐกิจย่ำแย่ก็หนักพออยู่แล้ว ยังมาเจอสินค้าจีนทุบราคาลงอีก เชื่อว่าคงมีปิดกิจการอีกหลายเจ้าแน่นอน!
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 31 กรกฏาคม 2567