โค้งสุดท้ายปี 67 ธุรกิจตั้งใหม่ 11 เดือน โต 2.37% แรงหนุนท่องเที่ยว-ลงทุน
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยการจดทะเบียนธุรกิจใหม่สะสม 11 เดือน (มกราคม-พฤศจิกายน 2567) แตะ 8.3 หมื่นราย โตขึ้น 2.37% เฉพาะเดือนพฤศจิกายน 2567 จดทะเบียน 6,266 ราย โตขึ้น 4.80% คาดตลอดปี 2567 จัดตั้งธุรกิจใหม่ใกล้แตะเป้าหมาย 9 หมื่นราย แรงหนุนจากการลงทุน ท่องเที่ยวมีการเติบโต
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนพฤศจิกายน 2567 พบว่ามีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 6,266 ราย เพิ่มขึ้น 287 ราย (4.80%) เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2566 (5,979 ราย) และทุนจดทะเบียน 24,219.88 ล้านบาท ลดลง 1,053 ล้านบาท (4.17%) เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2566 (25,273 ล้านบาท)
ในเดือนนี้มีนิติบุคคลที่จดทะเบียนทุนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 3 ราย คือ บริษัท วัฒนาเวชวิวัฒน์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 1,241 ล้านบาท บริษัท หย่าตง (ไทยแลนด์) จำกัด ทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท และบริษัท ซิโน-ไทย เทคโนโลยี อินดัสเทรียล ปาร์ค กรุ๊ป (ไทยแลนด์) ทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 460 ราย ทุนจดทะเบียน 1,337 ล้านบาท ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 460 ราย ทุนจดทะเบียน 4,186 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 278 ราย ทุนจดทะเบียน 514 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.34% 7.34% และ 4.44% จากจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนพฤศจิกายน 2567
ขณะที่การจัดตั้งธุรกิจใหม่สะสม 11 เดือนของปี 2567 (มกราคม-พฤศจิกายน) มีจำนวน 83,219 ราย เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 (81,291 ราย) เพิ่มขึ้น 1,928 ราย (2.37%) ทุนจดทะเบียน 262,850 ล้านบาท ลดลง 284,006 ล้านบาท (51.93%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 (546,856 ล้านบาท) สาเหตุที่ทุนจดทะเบียนลดลงอย่างผิดปกติสืบเนื่องจากปี 2566 มีทุนจดทะเบียนสูงสุดในประวัติการณ์โดยมี 2 ธุรกิจที่ทุนจดทะเบียนเกิน 100,000 ล้านบาท ได้ควบรวมและแปรสภาพ
อย่างไรก็ดี ช่วง 11 เดือนที่ผ่านมามีการจัดตั้งธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 14 ราย เช่น กิจการค้าส่งและค้าปลีก จำหน่ายแว่นตาและอุปกรณ์ และกิจการ Data Center ทั้งนี้ ปัจจัยกระตุ้นให้มีการจดทะเบียนธุรกิจ จากการลงทุน อาทิ การท่องเที่ยวที่ภาครัฐให้ความสำคัญในการออกนโยบายสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถสร้างและกระตุ้นเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้เป็นอย่างดี
ประกอบกับเศรษฐกิจโลกที่เริ่มทะยอยฟื้นตัว ทำให้ผู้คนเริ่มใช้จ่าย ทำให้อุปสงค์ในความต้องการสินค้าและบริการในตลาดเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อการส่งออกของไทยมีการขยายตัวไปในทิศทางบวก สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม รวมทั้งการลงทุนโครงสร้างขั้นพื้นฐานและการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐ เป็นแรงกระตุ้นเชิงบวกให้กับการจัดตั้งธุรกิจ แต่ยังคงมีปัจจัยบางส่วนที่ยังเป็นประเด็นที่ต้องระวังสำหรับธุรกิจ
ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจและการลงทุน การไหลเข้ามาของสินค้าต่างประเทศ ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับสินค้าไทย การบริโภคสินค้าและบริการที่เปลี่ยนไปตามเทรนด์โลกที่สร้างผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อภาคธุรกิจ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมาตรการทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดที่ส่งผลต่อผลผลิตและการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย
ทั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า คาดว่าในเดือนธันวาคมจะมีการจดทะเบียนจัดตั้งอยู่ประมาณ 4,000-5,000 ราย และหากเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้จะทำให้ยอดการจดทะเบียนทั้งปีอยู่ 88,000-89,000 ราย ซึ่งจะใกล้เคียงกับเป้าที่กรมตั้งไว้ที่ประมาณ 90,000 ราย
การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนพฤศจิกายน 2567 มีจำนวน 2,852 ราย เพิ่มขึ้น 244 ราย (9.36%) เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2566 (2,608 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 10,173 ล้านบาท ลดลง 7,201 ล้านบาท (41.44%) เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2566 (17,374 ล้านบาท) ในจำนวนนี้มีธุรกิจที่ทุนจดทะเบียนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จดทะเบียนเลิกประกอบธุรกิจ 1 ราย
ทั้งนี้ ช่วงไตรมาสสุดท้ายถือเป็นปกติของของการจดเลิกประกอบกิจการ เนื่องจากธุรกิจต้องการจัดทำบัญชีให้เสร็จภายในรอบปีบัญชีนั้น ซึ่งจะไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายในการจัดทำบัญชีในปีถัดไป
สำหรับประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 220 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนเลิก 678 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 156 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 1,660 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 90 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 190 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.74% 6.20% และ 3.58% จากจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนพฤศจิกายน 2567
การจดทะเบียนเลิกสะสม 11 เดือนของปี 2567 (มกราคม-พฤศจิกายน 2567) มีจำนวน 17,614 ราย ลดลง 244 ราย (1.37%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 (17,858 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 136,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28,350 ล้านบาท (26.32%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 (107,729 ล้านบาท)
โดยในช่วงเวลา 11 เดือนที่ผ่านมา มีธุรกิจทุนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จดทะเบียนเลิกทั้งสิ้น 10 ราย เป็นประเภทธุรกิจที่หลากหลาย เช่น กิจการโทรคมนาคม โรงงานผลิต จำหน่าย ให้เช่าเทปคาสเซต แผ่นเสียง และค้าปลีกผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 1,960,452 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.54 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่จำนวน 944,008 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.50 ล้านล้านบาท
แบ่งออกเป็นบริษัทจำกัดจำนวน 740,373 ราย หรือ 78.43% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 16.31 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลจำนวน 202,152 ราย หรือ 21.41% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.47 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,483 ราย หรือ 0.16% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.72 ล้านล้านบาท
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยขยับเคลื่อนตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นผลมาจากการท่องเที่ยวที่เป็นตัวกระตุ้นให้เงินเข้าสู่ประเทศ ผู้บริโภคเริ่มผ่อนคลายในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ประกอบกับการที่ภาครัฐออกนโยบายต่าง ๆ เพื่อช่วยภาคเศรษฐกิจและประชาชนพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเข้มแข็ง
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 23 ธันวาคม 2567