รุก-รับนโยบาย "ทรัมป์ 2.0" ลุยฮับการเงิน-ดึงลงทุนไทย
หมายเหตุ – ความเห็นกรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 มกราคม จากนั้น ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร ยกเลิกนโยบายของรัฐบาลโจ ไบเดน จำนวน 78 ฉบับ รวมทั้งได้ทยอยประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากหลายประเทศ
จากนโยบายภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานการค้าโลก และเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยนั้นสำหรับด้านการส่งออก นโยบายกีดกันทางการค้าและการเพิ่มภาษีศุลกากรของสหรัฐ อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าส่งออกหลักของไทยไปยังสหรัฐ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ยาง และสินค้าเกษตร
ขณะเดียวกัน การที่สหรัฐเพิ่มภาษีสินค้าจากจีน อาจทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ส่งผลให้ความต้องการสินค้าจากไทยลดลง และมีความเป็นไปได้สูงที่จีนอาจระบายสินค้าสู่ตลาดเอเชียรวมถึงไทย ทำให้สินค้าของไทยอาจเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มยานยนต์ เคมีภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง และสิ่งทอ
เพราะฉะนั้น แนวทางการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐและจีน สามารถทำได้โดย 1.มุ่งเน้นการกระจายตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้า รวมทั้งการขยายการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับสหภาพยุโรป (อียู) และสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (อีเอฟทีเอ) การปรับภาคการผลิตมุ่งเน้นสินค้ามูลค่าสูง เช่น ส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร พลังงานสะอาด เป็นต้น เพื่อเพิ่มอุปสงค์ในตลาดโลก ขณะเดียวกัน สถานการณ์ดังกล่าวยังเปิดโอกาสให้ไทยขยายการส่งออกสินค้าทดแทนจากจีนสู่ตลาดสหรัฐ อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ เหล็กและอะลูมิเนียม ยาง
2.เร่งรัดการลงทุน จากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ส่งผลกระทบต่อการลงทุนจากสหรัฐในไทยไม่มาก โดยการลงทุนจากสหรัฐคิดเป็นสัดส่วน 18.3% ของเงินลงทุนต่างประเทศทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การเพิ่มกำแพงภาษีสินค้านำเข้าในสหรัฐอาจกระตุ้นการย้ายฐานการผลิตจากประเทศต่างๆ มายังไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ไทย ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า ศูนย์ข้อมูล (Data Center) เป็นต้น
นอกจากนี้ การพัฒนาแรงงานเฉพาะด้านและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือ เป็นต้น รวมถึงการปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน เช่น
การลดขั้นตอนการอนุมัติและการสร้างสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด จะช่วยเสริมสร้างความได้เปรียบในการดึงดูดการลงทุนและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ
3.ส่งเสริมการท่องเที่ยว แม้ผลกระทบจากนโยบายของสหรัฐค่อนข้างจำกัด เนื่องจากนักท่องเที่ยวจากสหรัฐมีสัดส่วนเพียง 2.9% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในปี 2567 แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอาจกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวจากสหรัฐให้เดินทางมายังไทยมากขึ้น ฉะนั้น ควรเร่งการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ระบบชำระเงินดิจิทัล การยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามบินและระบบขนส่ง รวมถึงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงและระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ จะช่วยดึงดูดและเพิ่มความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวจากตลาดสำคัญ
นอกจากนี้ เพื่อรองรับความไม่แน่นอน รัฐบาลยังมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ โดยดำเนินโครงการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการเงินระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งขณะนี้ สศค.อยู่ระหว่างเสนอร่างพระราชบัญญัติ พ.ศ. … เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) ซึ่งจะดึงดูดสถาบันการเงินชั้นนำและสตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech Startup) มาประกอบธุรกิจในประเทศโดยจะเป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศและเพิ่มการจ้างงานที่มีคุณภาพและผลตอบแทนสูงในระยะยาว
ทั้งนี้ สศค.จะติดตามการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างใกล้ชิดเพื่อให้สามารถเตรียมความพร้อมรับมือและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบาย
ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมั่นใจว่าการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในปัจจุบันและการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมาตรการการคลัง จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมาย
อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประเมินนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเต็มตัวนั้น มองว่าไม่ได้มีอะไรที่น่ากังวลมากนักจากที่ประกาศไว้ เพราะแม้มีการประกาศอะไรออกมามากมาย แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้มีอะไรที่เกิดความรุนแรง อาทิ การขึ้นกำแพงภาษีเลยในวันนั้น ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น ดอลลาร์สหรัฐกลับมาอ่อนค่า เงินบาทแข็งค่าขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) ที่กังวลว่าหนี้ภาครัฐจะเพิ่มสูงขึ้น ก็ไม่ได้กังวลมากขนาดนั้น จึงมีการปรับย่อลง
ความกังวลในช่วงต่อจากนี้ เป็นเรื่องการขยายความรุนแรงจากสงครามการค้าเป็นสงครามทางเศรษฐกิจ แบ่งโลกฉีกออกเป็น 2 ขั้ว ได้แก่ ฝั่งสหรัฐ และฝั่งจีนอย่างชัดเจน โดยสหรัฐน่าจะลดการเชื่อมโยงกับจีนอย่างมียุทธศาสตร์ หรือ Strategic Decoupling มากขึ้น อาทิ ห้ามบริษัทสหรัฐลงทุนด้านเทคโนโลยีกับจีน โดยเฉพาะด้านเอไอ หรือปัญญาประดิษฐ์ การที่สหรัฐจะผลิตชิ้นส่วนด้านการทหารเอง โดยไม่ใช้ส่วนใดจากจีนเลย หรืออย่างน้อยหากผลิตไม่ได้ก็จะใช้จากชาติพันธมิตรกับสหรัฐเข้ามาเสริมแทน เหมือนช่วงที่ผ่านมา สหรัฐพยายามลดการนำเข้าจากจีน หันมาสั่งของจากเวียดนาม หรือประเทศไทยแทน รวมถึงสหรัฐจะไม่ส่งออกสินค้าด้านเทคโนโลยีให้จีนและอาจลามไปขู่ชาติอื่นๆ ให้ทำตาม
สหรัฐจะเริ่มมองว่าประเทศอื่นๆ เป็นฝั่งสหรัฐ หรือฝั่งจีน หากเป็นฝั่งสหรัฐจะมีการค้าขายและลงทุนด้วย ทำให้ประเทศไทยเราต้องวางยุทธศาสตร์ให้ชัด ในฝั่งรัฐบาลไม่เลือกข้างอยู่แล้ว ต้องคบค้าสมาคมด้วยให้ได้ทั้ง 2 ฝั่ง ไม่เน้นไปที่ฝั่งใดฝั่งเดียว โดยเราต้องเป็นมิตรได้กับทั้งคู่ ค้าขาย ลงทุนได้ ซึ่งในฝั่งของผู้ประกอบการไทย จริงๆ มีบางกลุ่มที่ได้ประโยชน์ในการส่งออกไปสหรัฐได้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว สะท้อนจากสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐและเกินดุลการค้าเยอะขึ้นมาก
แต่ต้องระวังหลังจากนี้ ที่หากจีนส่งออกสินค้าไปสหรัฐไม่ได้ จะหันมาทุ่มตลาดในประเทศไทยแทน รวมถึงอาจมีสินค้าจีนเข้ามาสวมสิทธิเป็นสินค้าที่ผลิตในไทย และส่งออกไปสหรัฐ ซึ่งเราไม่อยากให้สหรัฐมองว่าประเทศไทยเป็นช่องทางหนึ่งของจีนในการใช้ไทยเป็นตลาดส่งออกไปสหรัฐได้มากขึ้น จึงแนะนำให้ผู้ประกอบการไทยตั้งรับด้านการทำข้อมูลที่เป็นการผลิตจากไทยแท้จริง หรือโลคัลคอนเทนต์ไว้อย่างชัดเจน ไม่ใช่สินค้าจากจีน หรือสัดส่วนสินค้าที่ผลิตในประเทศ เพราะจะเป็นส่วนที่ช่วยผู้ประกอบการได้
ประเทศไทยจะต้องเตรียมตัวเจรจาเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้น เพราะหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน โดยหากสหรัฐลดการนำเข้าจากจีนในสินค้าใด เราก็เข้าไปช่วงชิงสินค้านั้นๆ ในการส่งออกไปทดแทนได้ และต้องประกาศว่า ไทยเปิดตลาดแท้จริงในการรับสินค้าของสหรัฐ เพราะสหรัฐก็ไม่ชอบที่บางประเทศปิดกั้นการเข้าไปของธุรกิจของเขา
เราจึงต้องเปิดเสรีในบางกลุ่ม ลดกฎระเบียบในการเปิดให้บริษัทสหรัฐเข้ามาลงทุนและขายสินค้าได้มากขึ้น อาจเป็นผลดีก็ได้ หากบริษัทเหล่านั้นมีการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา เป็นการต่อยอดการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยการเจรจาสำคัญคือ ต้องไม่ใช่เพียงประเทศไทยเท่านั้น เพราะอำนาจในการต่อรองต่ำมาก ตลาดของเราเล็ก จึงต้องร่วมมือกับอาเซียนที่จะมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น ทั้งจำนวนประชากร และตลาดที่มีมูลค่าสูงขึ้น
พิจารณานโยบายทรัมป์ที่ประกาศออกมา แบ่งออกเป็น 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.ภาวะฉุกเฉินด้านพรมแดน ที่ทรัมป์เตรียมส่งทหารไปตอนใต้ของสหรัฐหรือพรมแดนกับเม็กซิโก เพื่อขับไล่ผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงผู้ค้ายาเสพติด และอาชญากรอื่นๆ ซึ่งประเด็นนี้ยังต้องดูกันต่อว่าจะกระทบตลาดแรงงานสหรัฐอย่างไร เพราะคนกังวลว่าสหรัฐจะขาดแคลนแรงงาน และทำให้ค่าจ้างเพิ่มขึ้นจนทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อขึ้นอีก
2.ภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน โดยทรัมป์ต้องการแก้ปัญหาเงินเฟ้อด้วยการลดราคาพลังงาน แต่แน่นอนว่าจะแก้ได้ไม่ยากหากปล่อยให้มีการขุดเจาะน้ำมันใต้ดินสหรัฐ ขุดให้เต็มที่ (Drill, baby drill) พร้อมมองว่าการจะสร้างภาคการผลิตของประเทศให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง สหรัฐจะต้องใช้น้ำมันราคาถูก และเพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศ ส่งออกน้ำมันดิบให้มากขึ้น ส่วนนี้มองว่าทรัมป์จะแก้ปัญหาขาดดุลการค้าผ่านการบีบให้ประเทศอื่นนำเข้าน้ำมันจากสหรัฐ อย่างน้อยก็น่าจะทำกับชาติยุโรป และให้ยุโรปลดการนำเข้าจากรัสเซีย ส่วนการยกเลิกการบังคับใช้รถยนต์ไฟฟ้าและสนับสนุนรถยนต์สันดาป ก็เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในประเทศเอง
และ 3.ทรัมป์เตรียมจัดตั้งหน่วยงานจัดเก็บภาษีจากนอกประเทศ (External Revenue Service ERS) เพื่อเป็นแหล่งรายได้ให้รัฐบาล แม้มีข่าวว่าทรัมป์จะเก็บภาษีนำเข้า 25% กับแคนาดาและเม็กซิโก ส่วนจีนจะเก็บถึง 60% แต่ขณะนี้ทรัมป์ยังไม่ได้ระบุว่าจะเก็บกับใครและอยู่ที่เท่าใด จึงอาจใช้จังหวะนี้ในการเร่งเจรจา หรือหาหลักฐานว่าประเทศเหล่านี้ทำการค้า
ไม่เป็นธรรม อาทิ มีการอุดหนุนสินค้าของตัวเอง มีการทุ่มตลาด หรือบิดเบือนค่าเงินเกิดขึ้น
สิ่งที่กังวลมากอยู่แล้ว เป็นผลกระทบในเรื่องการส่งออกของไทย ที่หากใช้นโยบายกีดกันทางการค้าแบบรุนแรงอย่างที่ประกาศไว้ จะทำให้การส่งออกไทยได้รับผลเชิงลบไปด้วย โดยมีโอกาสโตได้น้อยลง จากที่ประเมินว่าจะโตเพียง 1-2% เท่านั้น อาจติดลบมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ได้ สิ่งที่ต้องมองต่อคือ ขาของการนำเข้าด้วย โดยสิ่งที่จะลดการเกินดุลระหว่างสหรัฐได้ เป็นเรื่องการนำเข้า เหมือนที่เคยบีบประเทศไทยให้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่มมากขึ้น อาทิ เนื้อหมู ถั่วเหลือง และน้ำมันจากสหรัฐ ที่ต้องมาพิจารณาดูอีกครั้ง โดยสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องเร่งดำเนินการคือ การพัฒนาสินค้าที่เพิ่มนวัตกรรม มีคุณภาพ และมีความสามารถในการแข่งขัน หากเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขึ้นภาษีมากเท่าใด แต่สิ่งที่กังวลคือ เมื่อมีการขึ้นภาษีแล้ว ไทยก็ไม่ได้ความสามารถในการแข่งขันด้านสินค้าอีก ทั้งยังมาถูกผลกระทบมากขึ้นอีก โดยส่วนนี้รัฐบาลต้องดึงดูดการลงทุนเข้ามามากขึ้น แต่ต้องเป็นการเข้ามาลงทุนและผลิตผ่านโลคัลคอนเทนต์ในประเทศไทยอย่างแท้จริง
โดยเน้นย้ำว่าไม่ได้เป็นการตั้งรับทั้งหมด ต้องเป็นการรับเข้ามาให้เกิดการเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการในประเทศ ไม่อย่างนั้นสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามา หรือการลงทุนของจีนจะกินรวบ สุดท้ายไทยจะไม่ได้ประโยชน์อะไรนอกจากการเป็นตลาดเท่านั้น จึงต้องใช้นโยบายทั้งเชิงรับและเชิงรุกด้วย
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 23 มกราคม 2568