"JS-SEZ" เขตเศรษฐกิจร่วมมาเลย์-สิงคโปร์ สะเทือน EEC ไทย
ผู้เชี่ยวชาญชี้มาเลเซียจับมือสิงคโปร์ ดันเขตเศรษฐกิจใหม่ "JS-SEZ" สะเทือน EEC ไทย หลากหลายมิติ ทั้งอุตสาหกรรมเป้าหมาย แลนด์บริดจ์ โลจิสติกส์ เศรษฐกิจสีเขียว ท่องเที่ยว พร้อมยกระดับเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเศรษฐกิจของอาเซียนครบวงจร
เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 นายลอว์เรนซ์ หว่อง (Lawrence Wong) นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ และนายอันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์กับสิงคโปร์ (JS-SEZ) ที่เมืองปุตราจายา (Putrajaya) ในวาระครบรอบ 60 ปี (ในปี 2025) แห่งความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้โครงการดังกล่าวคาดจะมีผลกระทบกับประเทศไทย
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์กับสิงคโปร์ (JS-SEZ) จะส่งผลกระทบต่อเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทยในหลากหลายมิติ ทั้งอุตสาหกรรมเป้าหมาย ศักยภาพคน โลจิสติกส์ เศรษฐกิจสีเขียว และการท่องเที่ยว เป็นต้น
ทั้งนี้สิงคโปร์ และมาเลเซียมีความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจในหลากหลายมิติ ปี 2566 สิงคโปร์ส่งออกมาเลเซียเป็นตลาดอันดับที่ 3 (รองจากจีนและสหรัฐ) สัดส่วนการค้า 15% มูลค่า 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจากมาเลเซีย มากเป็นอันดับที่ 4 มูลค่า 4.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สิงคโปร์ขาดดุลมาเลเซีย 2 พันล้านดอลลาร์ และสิงคโปร์คือนักลงทุนอันดับหนึ่งของมาเลเซียสัดส่วน 25% ของ FDI มาเลเซีย ตามด้วยนักลงทุนจากจีน และสหรัฐฯ
สำหรับมาเลเซีย มีระเบียงเศรษฐกิจ หรือเขตอุตสาหกรรมทั้งหมด 5 เขตอุตสาหกรรม ที่แบ่งตาม 5 ภูมิภาค คือ
(1)ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NCER) เป็นภูมิภาคการพัฒนาเศรษฐกิจระดับเวิลด์คลาส ประกอบด้วยรัฐปะลิส ปีนัง เคดาห์และเประ เน้นภาคเกษตร พัฒนาบุคลากร อุตสาหกรรม และท่องเที่ยว
มีโครงการเมืองยางพาราเรียกว่า “Kota Putra Rubber City : หรือ “South East Asia First Rubber Industrial Hub” ในรัฐเคดาห์ (ห่างจากหาดใหญ่ 89 กม.) ซึ่งเจ้าของโครงการคือ บริษัท Tradewinds Plantation Bhd : TPB หรือ TWS (หนึ่งในบริษัทอุตสาหกรรมการเกษตรรายใหญ่ของมาเลเซีย) ทำทั้งปาล์มนํ้ามันและยางพาราครบวงจร ผ่านทางบริษัทลูกที่มีความชำนาญเรื่องยางพาราครบวงจรที่ชื่อว่า “MARDEC” มีการตั้งเป้าหมายรัฐเคดาห์ เป็น"อุตสาหกรรม 4.0 ของมาเลเซีย"
(2)ระเบียงเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก (ECER) เป้าหมายต้องการเป็น “ภูมิภาคแห่งศักยภาพอุตสาหกรรม” ครอบคลุมรัฐกลันตัน ตรังกานู และปะหัง คิดเป็น 51% ของพื้นที่เพนนินซูลา เน้นอุตสาหกรรมเกษตร การศึกษา อุตสาหกรรม นํ้ามัน แก๊ส ปิโตรเคมีและท่องเที่ยว ในพื้นที่ของ ECER ยังมีเขตอุตสาหกรรมย่อยได้แก่ Malaysia-China Kuantan Industrial Park, Pekan Automotive Park, Kuantan Integrated Industrial Park ในรัฐปะหัง Kerteh Biopolymer Park ในรัฐตรังกานู และ Pasir Mas Halal Park ในรัฐกลันตัน
(3)Iskandar Malaysia in Southern Johor ถูกขนานนามว่าเป็น “Malaysia Shenzhen” ครอบคลุม การศึกษา การเงิน สุขภาพ ไอที โลจิสติกส์ และท่องเที่ยว มีการสร้างรถไฟความเร็วสูงจากกัวลาลัมเปอร์ อิสกันดาร์และสิงคโปร์ มีมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล University of Southampton และ Marlborough College มีทางหลวง Coastal Highway Link และเขตอุตสาหกรรม Legoland Malaysia ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวยังมีเขตอุตสาหกรรม Nusa Cemerlang Industrial Park และ Puteri Harbour Family Theme Park
(4)Sabah Development Corridor : (SDC) และ
(5)Sarawak Corridor of Renewable Energy (SCORE)
“สำหรับ JS-SEZ คือการพัฒนาในเขต Iskandar Malaysia in Southern Johor ซึ่งพัฒนามาตั้งแต่ปี 2006 การมี JS-SEZ ทำให้ EEC ไทยสะเทือนเพราะ 1.เป็นการพัฒนาร่วมกันของ 2 ประเทศที่นำจุดเด่นมายกระดับพัฒนาร่วมกัน 2.JS-SEZ จะเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเศรษฐกิจอาเซียนที่ครบวงจร เพราะมีเขตอุตสาหกรรมของมาเลเซียและสิงคโปร์สนับสนุนและอยู่ในพื้นที่ท่าเรือสิงคโปร์และมาเลเซีย (ท่าเรือยะโฮร์ และท่าเรือสิงคโปร์ บนเส้นทางขนส่งช่องแคบมะละกา)”
บนเส้นทาง BRI ของจีนทั้งขนส่งทางเรือของช่องแคบมะละกา และแลนด์บริดจ์จากฝั่งตะวันตะวันตก (ท่าเรือกลาง) ไปยังท่าเรือกลันตันของมาเลเซีย 4.อยู่บนแผนการขยายท่าเรือมาเลเซียจาก 28 เป็น 60 ล้านตู้ TEU ในปี 2060 และท่าเรือสิงคโปร์จาก 39 เป็น 65 ล้านตู้ TEU ในปี 2040 และ 5.สิทธิประโยชน์ด้านภาษีลดลง เช่น โอกาสภาษีนิติบุคคลเหลือ 10-15% มีความเป็นไปได้สูง เพราะเป็น SEZ ที่ใหญ่ที่สุดของมาเลเซีย
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 24 มกราคม 2568