มอง 4 บทเรียนต่างประเทศ แก้วิกฤต PM 2.5 สู่วันอากาศสะอาด
ส่อง 4 บทเรียน จาก 4 ประเทศในทวีปเอเชีย ได้แก่ สิงคโปร์, จีน, เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น แก้วิกฤต PM 2.5 อย่างไร ให้ท้องฟ้าสีครามกลับสู่ความปลอดโปร่ง
ฝุ่น PM 2.5 เป็น 1 ปัญหาของไทยที่ลากยาวมานานนับทศวรรษ สาเหตุมาจากการที่เราไม่สามารถควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ อาทิ การเผาผลผลิตทางการเกษตร, การใช้รถยนต์ที่ไม่ได้มาตรฐาน และจากโรงงานอุตสาหกรรม ได้อย่างเข้มงวดและจริงจัง ทำให้ฝุ่นพิษนี้กลับมาเป็นฝันร้ายซ้ำๆ ในทุกปี
ประกอบกับมวลอากาศเย็นที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีนพัดมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้ควันที่เกิดจากมลพิษไม่สามารถพัดหายไปไหนได้ นอกจากนี้ควันยังมาจากประเทศเพื่อนบ้าน แหล่งกำเนิดดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนสามารถจัดการเองได้
การถอนรากถอนโคนปัญหาทั้งหมดจึงตกไปเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องหาทางป้องกัน และการจัดการปัญหา “วาระแห่งชาติ” เพื่อรักษาสุขภาพของประชาชน และภาพรวมของประเทศให้สามารถเดินต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม ปัญหา PM 2.5 นี้ ไม่ได้มีเพียงเราเท่านั้นที่เผชิญ แต่ประเทศเพื่อนบ้านในทวีปเอเชียอย่างสิงคโปร์ จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ต่างก็เคยเผชิญมาเช่นเดียวกัน แล้วเขาจัดการเรื่องนี้อย่างไร ให้ประเทศกลับมามีท้องฟ้าที่โปร่งใสและปลอดภัยต่อสุขภาพประชาชน
สิงคโปร์ :
ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า สิงคโปร์เคยประสบปัญหาหมอกควันพิษจากการเผาป่าในประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ระดับ PM 2.5 เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 471 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ในปี 2556 ซึ่งเกินระดับที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ว่าปลอดภัย เพื่อแก้ไขปัญหานี้ รัฐบาลสิงคโปร์ได้ดำเนินหลากหลาย โดยมีมาตรการสำคัญ ได้แก่
ออกกฎหมายควบคุมมลพิษข้ามพรมแดน : สิงคโปร์ได้ออกกฎหมาย “Transboundary Haze Pollution Act” ที่จะเรียกเก็บค่าปรับ 100,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อวัน (สูงสุด 2 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์) หากพบว่าบริษัทต่างชาติมีการดำเนินกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในประเทศ ตั้งแต่ปี 2557
ความร่วมมือระดับภูมิภาค ผ่าน “ข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามพรมแดน” (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution) ร่วมกับมาเลเซียและอินโดนีเซีย
การสนับสนุนทางเทคนิคและความช่วยเหลือด้านทรัพยากรแก่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ในการจัดการไฟป่า การแบ่งปันเทคโนโลยีที่ช่วยลดการเผาป่า และการสนับสนุนการพัฒนาเกษตรกรรมที่ยั่งยืน นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังเคยส่งทีมผู้เชี่ยวชาญและอุปกรณ์ดับเพลิงเครื่องบิน C-130 เพื่อช่วยอินโดนีเซียควบคุมไฟป่าในพื้นที่เสี่ยง
เกาหลีใต้ :
ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงการจัดการฝุ่น PM 2.5 ของเกาหลีใต้ไว้ว่า
(1)ประเทศเกาหลีใต้ประสบกับฝุ่น PM 2.5 อย่างรุนแรงในช่วงฤดูหนาวเช่นเดียวกับไทย โดยรัฐบาลได้ประกาศให้ฝุ่น PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐานจนถึงระดับที่มีผลต่อสุขภาพเป็นภัยพิบัติทางสังคม (Social Disaster) ที่ต้องจัดการแก้ไขทันทีโดยกำหนดแผนเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปี 2022
และยังให้มีการใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน เรียกว่า “Comprehensive Plan on Fine Dust Management” กำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น Commander สามารถสั่งการลดแหล่งกำเนิดมลพิษในเมืองได้เบ็ดเสร็จ และยังสามารถยกเลิกมาตรการดังกล่าวได้เมื่อภัยพิบัติหมดไป
(2)ในวันที่คาดว่า คุณภาพอากาศในกรุงโซลจะมีค่าเกินค่ามาตรฐานในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยตามแผนผู้ว่าการกรุงโซลมีอำนาจประกาศให้ประชาชนสามารถใช้ระบบขนส่งมวลชนได้ฟรี เช่น รถไฟฟ้าใต้ดินและบนดิน รถ ขนส่งสาธารณะ รถไฟ เป็นต้น ในช่วงเวลาเร่งด่วนตั้งแต่ 05.00-09.00 น. และช่วงเวลา 18.00-21.00 น.
และขอความร่วมมือประชาชนไม่ต้องนำรถยนต์ออกมาวิ่งบนถนนในช่วงเวลาดังกล่าว รวมทั้งสั่งลดกำลังการผลิตของโรงงานที่ใช้ฟอสซิลเป็นเชื้อเพลิง, ตั้งเขตห้ามนำรถยนต์ดีเซลเก่าวิ่งเข้าเมืองตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์, ให้เปลี่ยนรถบัสโดยสารในเมืองต้องเป็นรถยนต์ EV ทั้งหมด, สั่งห้ามเผาในที่โล่ง เป็นต้น
ทั้งนี้เกาหลีใต้สามารถพยากรณ์คุณภาพอากาศและคาดการณ์ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำอย่างน้อย 5 วัน โดยผู้ว่าการกรุงโซลจะประกาศให้ประชาชนทราบและเสนอมาตรการดังกล่าวออกไป
ผู้ว่าการกรุงโซลทุกสมัยจะต้องมีนโยบายดังกล่าวอย่างชัดเจน ยึดหลัก “คุณภาพชีวิตของประชาชนยิ่งใหญ่กว่าเงินตราที่เสียไป (The value of human beings is far greater than that of money)” ถึงแม้จะเสียรายได้มหาศาลก็ไม่เป็นไร แต่มูลค่าสุขภาพอนามัยของประชาชนต้องมาก่อน
(3)ปี 2565 เกาหลีใต้ได้จัดการแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศให้ลดลงได้อย่างมาก เช่น
3.1)ใช้รถเครื่องยนต์และน้ำมัน Euro 6
เริ่มใช้รถยนต์ EV
3.2)ยกเลิกสถานประกอบการและโรงงานที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง
3.3)เพิ่มสวนสาธารณะโดยมีขนาดของพื้นที่สีเขียวเป็นอันดับ 7 ของโลก คิดเป็น 27.8% ของพื้นที่กรุงโซลและมีสวนสาธารณะขนาดต่าง ๆ มากกว่า 2200 แห่ง เป็นต้น
ประกอบกับข้อมูลจาก กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เรื่องการ “เพิ่มพื้นที่สีเขียว” ในปี 2565 องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นโซล ประเทศเกาหลีใต้ เตรียมปลูกต้นไม้ให้ได้จำนวน 30 ล้านต้น เพื่อแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง และลดความร้อนให้กับเมือง
นอกจากนั้นจะมีการปลูกต้นไม้ 2.1 ล้านต้นตามแนวทางหลวงสายสำคัญ เช่น สาย Olympic-daero และสาย Gangbyeonbuk-ro เพื่อสร้างป่าที่ช่วยกำจัดฝุ่นละอองจากท้องถนน, ปลูกต้นไม้ 1.15 ล้านต้น ตามแนวแม่น้ำ Han เพื่อให้เกิดการฟอกอากาศให้สดชื่นขึ้น
และยังมีการปลูกต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาบนเกาะกลาง ถนนบนเส้นทางที่มีควันจากท่อไอเสียมากที่สุด 100 แห่ง รวมทั้งสิ้นเป็นงบประมาณกว่า 480 พันล้านวอน แต่อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ก็ยังประสบกับฝุ่นละอองที่พัดข้ามแดนจากประเทศจีนในบางช่วงเวลาเท่านั้น แต่ฝุ่น PM 2.5 ในกรุงโซลในปี 2024 ลดลงถึง 75% สภาพอากาศดีเยี่ยมถึงปานกลาง
จีน :
ย้อนกลับไปทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศจีนเผชิญหน้ากับปัญหาฝุ่นควันอย่างหนักจนกลายเป็นข่าวใหญ่ทั่วโลก ท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม โรงงาน และการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ทำให้ความต้องการในพลังงาน เชื้อเพลิง และจำนวนยานพาหนะเพิ่มขึ้น สร้างความกดดันต่อสภาพแวดล้อมและคุณภาพอากาศ
ฝุ่นควันที่เกิดจากเหตุผลข้างต้น ทำให้ค่าฝุ่น PM 2.5 ในจีนพุ่งสูงขึ้น ในปี 2556 ค่าฝุ่นพุ่งแตะ 101.56 มคก./ลบ.ม. ประกอบกับงานวิจัยจาก Global Burden of Disease ระบุว่า PM 2.5 เป็นสาเหตุให้คนจีนเสียชีวิตก่อนวัยอันควรราว 1.4 ล้านคน
เดือนกันยายนในปีเดียวกัน รัฐบาลจีนจึงประกาศจัดการฝุ่น PM 2.5 ด้วยการบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ อาทิ
1)จำกัดจำนวนรถยนต์บนท้องถนนในเมืองหลัก
2)ห้ามตั้งโรงงานถ่านหินในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง
3)ลดการปล่อยควันพิษในโรงงานถ่านหิน หรือสั่งปิดโรงงานที่มีอยู่
4)ลดกิจกรรมทางอุตสาหกรรมที่มีมลพิษสูง เช่น การผลิตเหล็กและเหล็กกล้า
5)กำหนดเป้าหมายสิ่งแวดล้อมให้รัฐบาลท้องถิ่น
6)ใช้เครื่องทำความร้อนแบบไฟฟ้าหรือแก๊สในบ้านเรือนแทนการใช้หม้อไอน้ำที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง
7)ขยายทางรถไฟในเขตเมืองเพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว
8)กำหนดเขตปลดปล่อยมลพิษต่ำ (LEZs)
9)กำหนดแผนการปราบปรามฝุ่นควันในระยะ 5 ปี
10)รัฐบาลสามารถประกาศมาตรการระยะสั้นเมื่อต้องการ อาทิ ปิดโรงงานชั่วคราว เพื่อให้ฝุ่นควันลดลงสำหรับอีเวนต์สำคัญ ๆ เช่น การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
11)ทุ่มเงินงบประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสร้างป่าและปลูกป่าใน 12 มณฑล
12)ให้เงินอุดหนุนประชาชนซื้อรถคันใหม่ โละทิ้งรถเก่า ไม่ว่าจะเป็นรถบรรทุก รถเมล์ หรือรถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นตัวการของการปล่อยฝุ่นควันพิษ
นอกจากนี้ ปี 2559 รัฐบาลจีนยังสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังคุณภาพอากาศโดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย ติดตั้งเซ็นเซอร์คุณภาพสูงมากกว่า 1,000 ตัว ทั่วกรุงปักกิ่งเพื่อวัดระดับฝุ่น PM 2.5 ช่วยให้สามารถระบุพื้นที่และเวลาที่ฝุ่นพิษมีความเข้มข้นสูงได้อย่างแม่นยำ
ต่อมาในปี 2561 จีนเปิดตัวแผนปฏิบัติการ 3 ปี ตั้งเป้าลดฝุ่น PM 2.5 ในทุกเมืองของจีน จากที่แผนระยะแรกใช้กับเมืองใหญ่อย่างปักกิ่ง เทียนจิน เหอเป่ย์ และเขตสามเหลี่ยมเศรษฐกิจปากแม่น้ำแยงซีเกียง จากความพยายามตลอดปี 2556-2560 ทำให้ค่าฝุ่นในกรุงปักกิ่งลดลง 33% จาก 89.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเหลือ 60 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และ 15% ในเขตสามเหลี่ยมเศรษฐกิจปากแม่น้ำแยงซีเกียง
นอกจากนี้ในปี 2564 ในกรุงปักกิ่งยังมีวันที่อากาศคุณภาพดีถึง 288 วัน เมื่อเทียบกับปี 2013 ที่มีเพียง 176 วัน รายงานของสถาบันนโยบายพลังงานแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก ระบุว่า หากจีนลดฝุ่น PM 2.5 ได้ต่อเนื่องอายุขัยโดยเฉลี่ยของคนจีนจะเพิ่มขึ้น 2.2 ปี
ญี่ปุ่น :
ย้อนกลับไปเดือนธันวาคม 2556 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศชุดนโยบายเพื่อแก้ปัญหา PM 2.5 และมาตรการลดการปล่อยฝุ่น PM 2.5 ของประเทศอย่างจริงจัง และประกาศเพิ่มเติมนโยบายการลดการปล่อยอนุภาคขนาดเล็กในประเทศ
ภายหลังจากที่เคยประสบปัญหามลพิษอากาศรุนแรงจากฝุ่นละอองยาวต่อเนื่องเป็นปี ส่วนหนึ่งของนโยบาย ประกอบด้วย
(1)การส่งเสริมการปฏิบัติตามมาตรการหลายอย่างที่ครอบคลุมถึงการลดการปล่อยฝุ่น PM 2.5 อันรวมถึงการเสริมสร้างองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสารมลพิษทางอากาศเหล่านี้ให้เข้มแข็งและแม่นยำมากขึ้น เช่น ระบบการติดตามและเฝ้าระวัง ปรับปรุงโมเดลพยากรณ์อากาศ ปรับปรุงฐานข้อมูลและรายชื่อแหล่งกำเนิดมลพิษ
(2)การส่งเสริมความร่วมมือทั้งระดับทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อให้บรรลุการจัดการสิ่งแวดล้อมทางอากาศในระดับภูมิภาคเอเชีย สำหรับมาตรการระดับพื้นที่คือ เพิ่มการติดตาม กำกับ และควบคุมการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิดภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการปล่อยเขม่า NOX, VOCs และการส่งเสริมให้มีระบบการรับรองมาตรฐานสถานีเติมเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรต่ออากาศ เป็นต้น
ผลจากการดำเนินมาตรการอย่างจริงจัง ทำให้สถานการณ์ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของสถานีตรวจวัดมลพิษทางอากาศตั้งแต่ปี 2556-2560 มีค่าเฉลี่ยลดลง
การดำเนินนโยบายแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในภาพรวมของประเทศประสบความสำเร็จสูงเกือบ 90% กล่าวคือ ในปี 2559 และ 2560 พื้นที่ทั่วไปมีมลพิษทางอากาศลดลง 88.7% และ 89.9% สถานีตรวจวัดอากาศริมถนนมีค่าลดลง 88.3% และ 86.2% ตามลำดับ
นอกจากการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงตามที่กล่าวถึงข้างต้นอย่างเข้มงวดแล้ว ยังมีกฎหมายอื่นที่มีผลโดยตรงและโดยอ้อมต่อการจัดการคุณภาพอากาศในประเทศญี่ปุ่นด้วย นั่นคือ
1)กฎหมายว่าด้วยการชดเชยความเสียหายทางสุขภาพจากมลพิษ (Law Concerning Pollution-related Health Damage Compensation) ใช้ในปี 2517 กำหนดให้มีการจัดตั้งระบบการชดเชยความเสียหายด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับมลพิษ (Pollution-related Health Damage Compensation System : PHDCS)
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผลประโยชน์ชดเชย เช่น การประกันสุขภาพและเงินช่วยเหลือผู้ทุพพลภาพหรือสูญเสียสมรรถภาพของร่างกาย แก่ผู้ป่วยด้วยโรคที่ได้รับการรับรองทางการแพทย์ว่ามีสาเหตุจากมลพิษทางอากาศ
2)กฎหมายว่าด้วยระบบการรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษและการส่งเสริมการจัดการสารเคมี (Law for PRTR and Promotion of Chemical Management) มุ่งไปที่การส่งเสริมเรื่องการปรับปรุงระบบการจัดการสารเคมีของภาคอุตสาหกรรมและการป้องกันมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
โดยเมื่อภาคเอกชนปลดปล่อยหรือมีการเคลื่อนย้ายสารอันตรายที่อยู่ในบัญชีรายชื่อที่กฎหมายควบคุม จะต้องรายงานปริมาณและชื่อสารเคมีนั้น ๆ ให้หน่วยงานของกระทรวงเศรษฐกิจฯ และกระทรวงสิ่งแวดล้อม ให้รับทราบพร้อมกันและรวบรวมเป็นฐานข้อมูลของประเทศ
ข้อมูลจากรายงานเหล่านี้ต้องเผยแพร่สู่สาธารณะบนเว็บไซต์ของทั้ง 2 กระทรวง และทุกคนสามารถขอให้ผู้ประกอบธุรกิจเปิดเผยข้อมูลตามที่ต้องการ
กฎหมายนี้ไม่ได้มุ่งกำกับและควบคุมการปลดปล่อยสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม หรือกำหนดให้แหล่งกำเนิดต้องลดการปล่อยมลพิษ แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยภาคธุรกิจให้สามารถตรวจสอบการรั่วไหลของสารเคมีตามที่กฎหมายควบคุม รวมทั้งสามารถจัดการสารเคมีภายในสถานประกอบการให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัย [26]
ผลการใช้กฎหมาย PRTR ทำให้แหล่งกำเนิดที่อยู่ภายใต้การบังคับของกฎหมายต้องส่งรายงานต่อทั้ง 2 กระทรวง สามารถลดการปล่อยมลพิษสู่ดิน น้ำ และอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพในแต่ละปี
โดยเฉพาะมลพิษทางอากาศเกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากที่มีการปลดปล่อยมลพิษทางอากาศจากภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 219,000 ตันในปี พ.ศ. 2544 ได้ลดลงเหลือ 196,000 ตันในปี 2553
ข้อมูลจาก CNN , Earth ORG , hindustantimes และ มูลนิธิบูรณะนิเวศ
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 27 มกราคม 2568