เปิด 6 จุดตายเศรษฐกิจไทย เผชิญสงครามการค้ายุค "ทรัมป์ 2.0"
เอกชนเปิด 6 จุดตายเศรษฐกิจไทย เผชิญแรงกระแทกจากสงครามการค้า "ทรัมป์ 2.0" ทั้งปัญหาสินค้าจีนทะลัก ขาดแคลนแรงงานฝีมือ และนโยบายเศรษฐกิจที่ไร้ทิศทาง
ปัจจัยเรื่องความเสี่ยงที่มีผลต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมากที่สุดในปี 2568 ก็คือนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งในยุค “ทรัมป์ 2.0” ที่เดินหน้าสงครามการค้าอย่างรุนแรง โดยล่าสุดเพิ่งจะมีการประกาศยืนยันการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจาก 3 ประเทศได้แก่ แคนาดา เม็กซิโก ประเทศละ 25% และจีนเพิ่มอีก 10% รวมเป็น 20%
มาตรการการกีดกันทางการค้า ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกอย่างมาก และถึงแม้ว่าตัวเลขการส่งออกไทยจะส่งเป็นบวกได้ในเดือน ม.ค.ที่ขยายตัวได้ถึง 13.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่กลับพบว่าเมื่อดูในแง่ของดุลการค้าประเทศไทยขาดดุลการค้ามากถึงเท่ากับ 1,880.2 ล้านดอลลาร์ หรือขาดดุลในรูปของเงินบาท 75,746 ล้านบาท สะท้อนถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่มีปัญหาในภาคการผลิตของไทย

ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ภาคส่งออกไทย เผชิญความเสี่ยงและความผันผวนในยุคสงครามการค้า ทรัมป์ 2.0 เสมือนเจิระเบิดเวลาที่รอวันระเบิด
6 ข้อที่ถือเป็นจุดตายของระบบเศรษฐกิจ ได้แก่
(1)การส่งเสริมการลงทุนในประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น ดุลการค้าเพิ่ม แต่สัดส่วนการใช้ Local Content น้อย ประกอบกับมีความเสี่ยงที่จะถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการทางภาษีกดดันจากการส่งออกกลุ่มสินค้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นจนเกินดุลการค้า ผลกระทบจึงตกไปยังผู้ประกอบการในประเทศทั้งต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
(2)สินค้าจีนทะลัก ขาดระบบควบคุม (Overcapacity) จากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ เพื่อกีดกันสินค้าและลดการเกินดุลการค้ากับจีน ส่งผลให้สินค้าจำนวนมากที่ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ถูกกระจายมายังภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยเป็นแหล่งรองรับสินค้า ส่งผลให้ SME ไทยแข่งขันด้านราคาไม่ได้และอาจต้องปิดกิจการ รวมถึงทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้น
(3)Soft Loan เข้าถึงยาก ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่องและไม่สามารถยกระดับ พัฒนาอุตสาหกรรมให้ทันกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง ทำให้การลงทุนและการเติบโตในทางธุรกิจทำได้ช้า
(4)การผลิตสินค้าล้าสมัย รับจ้างผลิต ขาดเอกลักษณ์ของตนเอง อุตสาหกรรมของไทยยังพึ่งพาการผลิตสินค้ารูปแบบ รับจ้างผลิต (OEM) ขาดงบประมาณสนับสนุนด้าน R&D ส่งเสริมการสร้างแบรนด์อัตลักษณ์ของคนไทยอย่างจริงงจัง ทำให้มีความเสี่ยงสูงจากการพึ่งพารูปแบบ OEM มากเกินไป
(5)แรงงานขาดทักษะ Skill labour ต่ำไม่ปรับตัว ไทยยังขาดแรงงานที่มีฝีมือในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้ไทยเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับแรงงานขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้เทคโนโลยีและทักษะดิจิทัล ทำให้ปรับตัวไม่ทันสำหรับการเปลี่ยนแปลง ทักษะไม่ตรงกับความต้องการภาคการผลิต
(6)ขาด “SINGLE POLICY” อุตสาหกรรมไทยและภาคการผลิตขาดทิศทางที่ชัดเจนในการขับเคลื่อน ทำให้ขาดประสิทธิภาพแม้มีแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจมากมายที่เคยเป็นแนวทางทำเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น Thailand 4.0, BCG Economy และ EEC แต่ไม่มีนโยบาที่เป็นแกนหลัก (Pivot policy) ที่ทุกภาคส่วนต้องปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบและจริงจัง
ทั้ง 6 ข้อที่เป็นข้อเท็จจริงที่ฉุดรั้งภาคการผลิต และเศรษฐกิจไทยยุคทรัมป์ 2.0 ยิ่งไม่มีการแก้ไขก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตขึ้นได้ในอนาคต
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 9 มีนาคม 2568