รู้จัก "เกร็ก เอเบล" ผู้สืบทอดบัฟเฟตต์ นำ Berkshire สู่ยุคใหม่
ทำความรู้จักสองทายาทบัฟเฟตต์ "เกร็ก เอเบล" และ "อาจิต เจน" กับบทบาทบริหารเงินสดมหาศาลเกือบ 11 ล้านล้านบาทที่บัฟเฟตต์สะสมไว้ พร้อมภารกิจรักษาการเติบโตของอาณาจักร Berkshire 39 ล้านล้านบาท บนคลื่นอันแปรปรวนจากทรัมป์
ท่ามกลาง “Berkshire Hathaway” ที่ถือเงินสดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ประกอบกับอเมริกาได้หันหลังให้กับการค้าเสรี “วอร์เรน บัฟเฟตต์” นักลงทุนระดับตำนานในวัย 94 ปีก็สร้างเซอร์ไพรส์ล่าสุด ด้วยการประกาศอำลาตำแหน่งซีอีโอภายในสิ้นปีนี้ และส่งไม้ให้ “ทายาทรุ่นต่อไป 2 คน” ที่มีชื่อว่า “เกร็ก เอเบล” (Greg Abel) วัย 62 ปี ให้เป็นซีอีโอคนใหม่ ส่วน “อาจิต เจน” (Ajit Jain) วัย 73 ปี ซึ่งเป็นรองประธานอีกคนในการดูแลกลุ่มธุรกิจประกันภัย จะทำงานร่วมกับเอเบล คล้ายภาพคู่หูบัฟเฟตต์กับชาร์ลี มังเกอร์
จากนักบัญชีสู่ทายาทบัฟเฟตต์ :
ต่างจากบัฟเฟตต์ซึ่งเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 11 ปี เกร็ก เอเบลไม่ได้เริ่มต้นอาชีพในแวดวงธุรกิจตั้งแต่เนิ่นๆ ตัวเขาเติบโตในแคนาดา จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ตา ด้านการบัญชีในปี 1984
อาชีพของเอเบลเริ่มต้นที่บริษัทตรวจสอบบัญชี PwC ในเมืองเอดมันตันที่แคนาดา ก่อนจะย้ายไปสหรัฐ
จุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาเข้าสู่วงโคจรเดียวกันกับบัฟเฟตต์ คือการย้ายงานในปี 1992 จากบริษัทบัญชี ไปทำงานในบริษัทพลังงานอย่าง CalEnergy ที่บริหารโดย “เดวิด โซโคล” ผู้ซึ่งเคยเป็นตัวเต็งทายาทบัฟเฟตต์
CalEnergy เข้าซื้อกิจการบริษัทพลังงาน MidAmerican Energy Holdings และหลังจากนั้นในปี 2000 กลุ่มนักลงทุนซึ่งรวมถึงเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ก็ได้ร่วมกันเข้าซื้อกิจการ MidAmerican อย่างสมบูรณ์ และเปลี่ยนสถานะบริษัทจากมหาชนในตลาดหุ้นกลับมาเป็นบริษัทเอกชน
กระทั่งในปี 2009 เมื่อ NetJets ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Berkshire ประสบปัญหาอย่างหนัก บัฟเฟตต์จึงมอบหมายให้โซโคลเข้าไปกอบกู้สถานการณ์ และเปิดทางให้เอเบลก้าวขึ้นมารับตำแหน่งซีอีโอของ MidAmerican แทน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บัฟเฟตต์เคยกล่าวยกย่องทั้งเอเบลและโซโคลว่าเป็น “ผู้บริหารอัจฉริยะ” และ “ทรัพยากรล้ำค่า” ของอาณาจักร Berkshire แต่เส้นทางของโซโคลต้องสะดุดลง เมื่อเขาถูกเปิดเผยว่า ได้แอบลงทุนในบริษัทเคมีภัณฑ์ชื่อ Lubrizol ซึ่งเป็นบริษัทที่เขาแนะนำให้ Berkshire เข้าซื้อกิจการด้วยมูลค่าสูงถึง 9,700 ล้านดอลลาร์ การกระทำนั้นถูกตั้งคำถามเรื่องจริยธรรมอย่างหนัก และจบลงด้วยการลาออกของเขา
การจากไปของโซโคล กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เปิดทางให้เอเบลขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างเต็มตัว ในปี 2014 MidAmerican ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Berkshire Hathaway Energy” โดยมีเอเบลเป็นแม่ทัพใหญ่ ดูแลบริษัทย่อยในเครือมากถึง 11 แห่ง และในเวลาไม่นาน เขาก็ได้รับมอบหมายบทบาทใหม่ในการบริหารธุรกิจของ Berkshire ที่อยู่นอกเหนือจากกลุ่มประกันภัย ซึ่งกลายเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของเขาในจักรวาลธุรกิจที่บัฟเฟตต์สร้างขึ้น
กระตือรือร้นกว่า และช่างสงสัยที่ได้จากบัฟเฟตต์ :
เมื่อเอ่ยถึงบทบาทสำคัญของเอเบลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หนึ่งในเรื่องที่เด่นชัดคือ การมีส่วนร่วมกับการเติบโตขึ้นของ Berkshire ใน “กลุ่มบริษัทใหญ่ของญี่ปุ่น 5 แห่ง” โดยเอเบลกล่าวในระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้นว่า เขาคาดหวังว่า Berkshire จะยังคงถือครองการลงทุนในบริษัทเหล่านี้ต่อไปอีกหลายทศวรรษ
ในช่วงถาม-ตอบภาคบ่ายของการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 3 พ.ค. เบ็คกี้ ควิก ผู้ดำเนินรายการของสำนักข่าวซีเอ็นบีซีได้ถามเอเบล ให้บรรยายถึงแนวทางบริหารบริษัทในเครือของ Berkshire เมื่อเทียบกับแนวทางของบัฟเฟตต์
ก่อนที่เอเบลจะได้ตอบ บัฟเฟตต์ได้แทรกขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า “ดีกว่า” (ของตนเอง)
ด้านเอเบลตอบคำถามโดยอธิบายว่า ตนเองเป็น “ผู้นำที่กระตือรือร้นกว่า แต่หวังว่าจะเป็นไปในเชิงบวกอย่างยิ่ง” พร้อมเผยว่า ตัวเขาเรียนรู้วิธีที่จะเป็นคนช่างสงสัยจากการสังเกตบัฟเฟตต์ ความช่างสงสัยนั้นช่วยในการทำความเข้าใจว่า ธุรกิจต่างๆ ของเบิร์กเชียร์ดำเนินงานอย่างไร
ในการสัมภาษณ์กับซีเอ็นบีซี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ชาร์ลี มังเกอร์ อดีตรองประธาน Berkshire กล่าวถึงเอเบลว่า “เป็นผู้นำทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ทั้งในด้านความคิดและการลงมือทำ และเขายังเก่งอย่างน่าทึ่งในการทำให้สิ่งต่างๆ สำเร็จลุล่วงผ่านผู้อื่นได้อย่างราบรื่น ดังนั้น เขาจึงเป็นบุคคลที่โดดเด่นมาก และ Berkshire โชคดีมากที่มีเขา”
จากวิศวกร IBM สู่มือขวาบัฟเฟตต์ :
สำหรับ “อาจิต เจน” เกิดในปี 1950 ที่อินเดีย โดยในช่วงต้นของเส้นทางอาชีพ เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านวิศวกรรมเครื่องกลจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดีย
เขายังเคยทำงานช่วงสั้น ๆ กับบริษัท IBM ในปี 1972 ในตำแหน่งวิศวกรและพนักงานขาย ก่อนจะไปศึกษาต่อจนสำเร็จปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ต่อมา เขาได้เข้าร่วมงานกับบริษัทที่ปรึกษาชื่อดัง McKinsey & Co. โดยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระหว่างปี 1978 ถึง 1986
ในปี 1986 อาจิต เจนเข้าร่วมงานกับบริษัท National Indemnity ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทในเครือ Berkshire Hathaway ที่นำโดยบัฟเฟตต์ นับเป็นการก้าวเข้าสู่อาณาจักรธุรกิจของบัฟเฟตต์อย่างเต็มตัว
ภายในปี 2007 เจนก็ได้พิสูจน์ตัวเองว่า เป็นนักวางกลยุทธ์ชั้นยอด จนบัฟเฟตต์ยกย่องให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดีลขนาดใหญ่และซับซ้อน และในปี 2009 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นซีอีโอของธุรกิจประกันภัยของ Berkshire Hathaway นับแต่นั้นมา อาจิต เจน ก็กลายเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของอาณาจักร Berkshire
“ภายใต้การนำของอาจิต ธุรกิจประกันภัยของเราเติบโตจากบริษัทเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จักในโอมาฮา กลายเป็นผู้นำระดับโลก ที่มีชื่อเสียงทั้งในด้านความกล้าเสี่ยง และความมั่นคงทางการเงินดุจดั่งช่องแคบยิบรอลตาร์” บัฟเฟตต์กล่าวในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2025
อนาคต Berkshire กับเงินสด 11 ล้านล้านบาท :
หลังจากการประกาศวางมือของบัฟเฟตต์ ราคาหุ้น Berkshire คลาส A ก็ร่วงลง 4.9% มาอยู่ที่ประมาณ 769,960 ดอลลาร์ ส่วนหุ้นคลาส B ก็ปรับตัวลดลงในสัดส่วนใกล้เคียงกัน มาอยู่ที่ราว 512.94 ดอลลาร์
ในตลอด 60 ปีที่ผ่านมา บัฟเฟตต์ได้สร้างผลตอบแทนจากหุ้นของ Berkshire กว่า 5,500,000% สูงกว่าดัชนีหุ้น S&P 500 ที่ทำได้เพียง 39,000% โดยสามารถพลิกฟื้นบริษัทสิ่งทอที่เคยประสบภาวะล้มเหลว ให้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก
บัดนี้ บัฟเฟตต์กำลังจะส่งมอบกุญแจสำคัญให้กับ “เกร็ก เอเบล” ผู้บริหารจากธุรกิจพลังงานให้เข้ามากุมบังเหียนอาณาจักรมูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 39 ล้านล้านบาท ที่มีทั้งพอร์ตหุ้นขนาดใหญ่ เช่น Apple และ American Express รวมถึงธุรกิจในกลุ่มประกัน พลังงาน รถไฟ และสินค้าบริโภค ซึ่งสร้างกำไรจากการดำเนินงานกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อไตรมาสอย่างสม่ำเสมอ
เอเบลได้รับมรดกเป็นคำถามมากมาย โดยเริ่มจากคำถามว่า เขาจะจัดการกับ “เงินสดเกือบ 350,000 ล้านดอลลาร์” หรือราว 11 ล้านล้านบาท ของ Berkshire อย่างไร หลังจากที่บัฟเฟตต์แทบไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ตลาดผันผวนอย่างหนัก ซึ่งตำนานวีไอเคยกล่าวว่าเงินสดจะกลายเป็นอาวุธสำคัญเมื่อเกิดวิกฤติใหญ่ครั้งถัดไป ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตาม
ขณะที่เอเบลเผยว่า จะไม่เปลี่ยนแนวทางการลงทุนของ Berkshire ซึ่งได้เรียนรู้มาจากบัฟเฟตต์ พร้อมเสริมว่า การรักษางบดุลที่แข็งแกร่งดั่งป้อมปราการของ Berkshire จะยังคงเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกเสมอ
ตัวบัฟเฟตต์ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บริหารที่เปิดโอกาสให้บริษัทในเครือบริหารตัวเองอย่างอิสระ ซึ่งเอเบลก็ยืนยันในที่ประชุมเมื่อวันเสาร์ที่ 3 พ.ค. ว่า เขาจะสืบทอดแนวทางนั้นต่อไป อย่างไรก็ดี เขาเปิดเผยว่า พร้อมจะเสนอแนวทางการเติบโต รวมถึงช่วยเหลือบริษัทในเครือในการประเมินความเสี่ยง นับเป็นสัญญาณว่า เอเบลอาจมีสไตล์การบริหารที่แตกต่างจากบัฟเฟตต์ในบทบาทซีอีโอ
“ตอนนี้เขาอาจรู้จักธุรกิจต่าง ๆ ดีกว่าบัฟเฟตต์เสียอีก” รอน โอลสัน กรรมการผู้คร่ำหวอดของเบิร์กเชียร์ที่เพิ่งเกษียณจากตำแหน่งเมื่อวันเสาร์กล่าว
อย่างไรก็ตาม เอเบลอาจรู้สึกกดดันมากกว่าบัฟเฟตต์ในการใช้เงินสดเหล่านี้ โดยเฉพาะในช่วงที่บัฟเฟตต์ยังมีชีวิตอยู่
“ผมไม่เห็นว่าประสบการณ์ในอดีตของเอเบล จะบ่งชี้ว่าเขาเป็นนักเลือกหุ้นที่เก่ง เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ” โรเบิร์ต ไมลส์ ผู้สอนวิชาเกี่ยวกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ที่
มหาวิทยาลัยเนแบรสกา โอมาฮากล่าว “ผมคาดว่า เอเบลจะรับหน้าที่ดูแลการเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่ และการจัดสรรเงินทุนโดยรวม ส่วนการบริหารพอร์ตหุ้นจะยังคงอยู่ในความดูแลของผู้จัดการการลงทุนที่ทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว”
ขณะที่บิล มิลเลอร์ นักลงทุนระดับตำนาน ผู้เชี่ยวชาญด้านการเลือกหุ้น แนะนําให้เอเบลเดินตามแนวทางที่บัฟเฟตต์มักใช้กับนักลงทุนรายย่อย คือ “ให้นำเงินสดส่วนเกินส่วนใหญ่ไปลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500”
ทั้งนี้ ผลงานของเกร็ก เอเบลจะสามารถผงาดทัดเทียมบัฟเฟตต์ได้หรือไม่ เวลาหลังจากนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 7 พฤษภาคม 2568