โลกหันหลังให้ดีลอเมริกา? จีน-อินเดีย-อังกฤษจับมือค้าขาย ทรัมป์เมินข้อตกลง
เศรษฐกิจโลกเขย่า! จีน-อินเดีย-อังกฤษเดินหน้าจับมือทำข้อตกลงการค้า นักวิเคราะห์ชี้อเมริกาไม่ใช่ที่หลบภัยเศรษฐกิจโลกอีกต่อไป
ในขณะที่ทั่วโลกกำลังเร่งซ่อมแซมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานที่เสียหายจากยุคภาษีทรัมป์ สหรัฐอเมริกากลับส่งสัญญาณว่าอาจไม่รีบร้อนกลับเข้าร่วมวงเจรจาข้อตกลงการค้าอีกครั้ง ทั้งที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ อย่างรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ ออกมายืนยันว่าอเมริกา “ใกล้มาก” กับการบรรลุข้อตกลงบางอย่าง ขณะที่การเจรจากับจีนก็อยู่ในคิวการหารือแล้วในสัปดาห์นี้ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยรองนายกรัฐมนตรีจีน เหอ หลี่เฟิง จะเข้าร่วมหารือกับเบสเซนต์เกี่ยวกับประเด็นเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสองประเทศ
อย่างไรก็ตาม กระแสความคาดหวังนี้กลับถูกสั่นคลอนเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ระหว่างการพบกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา มาร์ค คาร์นีย์ ที่ทำเนียบขาว โดยทรัมป์กล่าวว่า “เราไม่จำเป็นต้องเซ็นข้อตกลง พวกเขาต่างหากที่ต้องการตลาดของเรา เราไม่อยากได้ตลาดของพวกเขา” ซึ่งขัดแย้งโดยตรงกับท่าทีของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลของเขาเอง ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงถ้วนหน้า โดยดัชนี S&P 500 ร่วง 0.77% ขณะที่ Dow Jones ดิ่ง 0.95% และ Nasdaq ลดลง 0.87%
ขณะเดียวกัน กลุ่มประเทศอื่นๆ กลับไม่รอการนำของสหรัฐฯ อีกต่อไป ประเทศอินเดียและสหราชอาณาจักรประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญด้วยการลงนามข้อตกลงการค้าแบบทวิภาคี ที่จะทยอยลดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าเกือบทั้งหมดให้เหลือศูนย์ภายในระยะเวลา 10 ปี อินเดียจะลดภาษีสินค้านำเข้าหลักจากอังกฤษ เช่น วิสกี้และรถยนต์ ขณะที่อังกฤษจะยกเลิกภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียถึง 99.1% ทันทีเมื่อข้อตกลงมีผลบังคับใช้
ขณะเดียวกัน จีนยังเดินหน้าเต็มที่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ย Reverse Repo 7 วันลง 10 จุดพื้นฐาน เหลือ 1.4% พร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พื้นฐานลงอีก 0.1% และลดอัตราการกันสำรองของธนาคารลง 0.5% เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบกว่า 1 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 138,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาตรการดังกล่าวช่วยให้ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงปรับขึ้นสูงสุด 2% ก่อนปิดตลาดด้วยการเพิ่มขึ้นราว 0.6%
ภาพรวมเหล่านี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก ที่อาจไม่ได้หมุนรอบสหรัฐฯ อย่างในอดีต โดยบรรดาประเทศกำลังหันมาเชื่อมโยงกันมากขึ้น โดยไม่ต้องผ่านการนำของวอชิงตัน ล่าสุด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ก็ออกมาเปิดเผยว่า กลุ่มอาเซียนและจีนเตรียมเปิดเวทีเจรจาเพื่อปรับปรุงข้อตกลงการค้าเสรีร่วมกันในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้
ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ที่เริ่มแตกแยกในยุคทรัมป์ การพัฒนาดังกล่าวอาจเป็น “สะพานใหม่” ที่ประเทศต่างๆ สร้างขึ้นเพื่อเดินหน้าต่อ โดยอาจไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสหรัฐฯ อีกต่อไป ในขณะที่บางฝ่ายมองว่า “อเมริกาต้องเป็นศูนย์กลาง” ของทุกข้อตกลง ทว่าความเป็นจริงกลับชี้ให้เห็นว่าหลายประเทศกำลังเดินหน้าต่อโดยไม่รอสัญญาณไฟเขียวจากวอชิงตัน
ในอีกด้านหนึ่ง ภาคธุรกิจเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ก็ได้รับแรงสั่นสะเทือนจากนโยบายของตนเอง เมื่อบริษัท Advanced Micro Devices (AMD) รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่เหนือกว่าที่คาดการณ์ และคาดการณ์ผลดำเนินงานไตรมาสต่อไปว่าจะยังแข็งแกร่ง แต่ก็ต้องรับภาระต้นทุนกว่า 800 พันล้านดอลลาร์ จากข้อจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีน ขณะที่ผู้บริหารของ Nvidia อย่าง เจนเซน หวัง ก็กล่าวว่า ตลาด AI ของจีนจะมีมูลค่าสูงถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์ในอีก 2-3 ปี และการพลาดโอกาสนี้ถือเป็นความเสียหายอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนด้านความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียใต้ เมื่ออินเดียออกมาเปิดเผยว่าได้เปิดปฏิบัติการทางทหารโจมตีเป้าหมายในเขตปากีสถานและแคชเมียร์ที่อินเดียเรียกว่า “ดินแดนที่ถูกยึดครอง” เพื่อตอบโต้การโจมตีของกลุ่มติดอาวุธเมื่อเดือนที่แล้วซึ่งคร่าชีวิตผู้คนกว่า 26 ราย
ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน รายงานจาก JPMorgan ระบุว่า สหรัฐฯ อาจไม่ใช่ “ที่หลบภัย” ทางเศรษฐกิจที่ปลอดภัยอีกต่อไป หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอย่างรุนแรง เห็นได้จากความไม่แน่นอนทางนโยบายและแรงกดดันจากภายนอกที่เริ่มกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก
ท่ามกลางภูมิทัศน์ใหม่ของเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนไป การจับตามองท่าทีของสหรัฐฯ และการเคลื่อนไหวของชาติคู่แข่งจึงกลายเป็นสิ่งที่ทั้งนักลงทุน ผู้นำธุรกิจ และรัฐบาลทั่วโลกต้องให้ความสำคัญ เพราะในโลกที่ประเทศต่างๆ เริ่มจับมือกันโดยไม่ต้องมี “มหาอำนาจ” เป็นตัวกลาง อเมริกาอาจต้องทบทวนบทบาทของตนเองใหม่อีกครั้ง หากไม่อยากกลายเป็นผู้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 8 พฤษภาคม 2568