ภูมิรัฐศาสตร์-ภูมิเศรษฐศาสตร์ในโลกปัจจุบัน กับ การวางนโยบายสาธารณะของไทย
ในโลกที่เชื่อมโยงถึงกันมากขึ้นและเต็มไปด้วยความผันผวน การกำหนดนโยบายสาธารณะไม่อาจจำกัดอยู่เพียงประเด็นภายในประเทศอีกต่อไป "ภูมิรัฐศาสตร์" และ "ภูมิเศรษฐศาสตร์"
สองศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับอิทธิพลของภูมิศาสตร์ อำนาจและยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจต่อกิจการระหว่างประเทศได้กลายเป็นเลนส์สำคัญที่ประเทศต่างๆ ต้องใช้ในการประเมินยุทธศาสตร์ของตน และกำหนดนโยบายสาธารณะ
ความเข้าใจเกี่ยวกับภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์
“ภูมิรัฐศาสตร์” หมายถึงการศึกษาว่าปัจจัยทางภูมิศาสตร์ เช่น ที่ตั้ง ทรัพยากร และลักษณะภูมิประเทศ มีอิทธิพลต่ออำนาจทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างไร ในขณะที่ภูมิเศรษฐศาสตร์ เน้นการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายทางภูมิรัฐศาสตร์ แม้ภูมิรัฐศาสตร์จะเน้นด้านการทหารและยุทธศาสตร์
แต่ภูมิเศรษฐศาสตร์เน้นการค้า การลงทุน มาตรการคว่ำบาตร และโครงสร้างพื้นฐานเป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์และอำนาจต่อรอง ในปัจจุบันเส้นแบ่งระหว่างสองศาสตร์นี้เริ่มเลือนรางลงโดยอำนาจทางเศรษฐกิจมีบทบาทสำคัญในการกำหนดพันธมิตรและการแข่งขันระดับโลก
หลังจากนโยบาย “America First” โลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ สหรัฐได้ถอนตัวจากข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ เช่น ข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งใช้นโยบายการค้าที่เข้มข้นกับประเทศต่างๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดสงครามการค้าและความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
ผลกระทบเหล่านี้ทำให้หลายประเทศรวมถึงประเทศไทยต้องปรับตัว โดยหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างความเป็นอิสระเชิงยุทธศาสตร์ และกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการทูตมากขึ้น เพื่อรับมือกับโลกที่ไม่สามารถพึ่งพาระบบเดิมได้อีกต่อไป
ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและความเปราะบาง :
เศรษฐกิจของไทยมีความเชื่อมโยงสูงกับห่วงโซ่อุปทานโลก โดยการส่งออกมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 60 ของ GDP แม้ความเชื่อมโยงนี้จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโต แต่ก็ทำให้ไทยเปราะบางต่อแรงกระแทกจากภายนอก เช่น สงครามการค้า การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ได้ตอกย้ำความเปราะบางนี้
แนวทางภูมิเศรษฐศาสตร์ในการกำหนดนโยบายสาธารณะควรเน้นการกระจายความเสี่ยงทางการค้า เร่งขยายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคใหม่ๆ เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียใต้ พร้อมทั้งเร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี ต้องกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง :
การพึ่งพาการผลิตสินค้าขั้นต้นไม่สามารถสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้อีกต่อไป ไทยควรเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เทคโนโลยีแพทย์ หุ่นยนต์ เกษตรแปรรูป และพลังงานสะอาด ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และ เศรษฐกิจดิจิทัล การส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจด้านการบริการก็มีความสำคัญเช่นกัน เช่น การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism)
โครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมโยง :
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ภูมิเศรษฐศาสตร์ โครงการอย่าง Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานสามารถใช้ขยายความสัมพันธ์และเสริมสร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย ถือเป็นก้าวที่ถูกต้อง
โดยมีเป้าหมายให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โครงการเหล่านี้ต้องสอดคล้องกับผลประโยชน์ของชาติ และยึดหลักธรรมาภิบาล ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และมีการบูรณาการระดับภูมิภาค
ความมั่นคงด้านพลังงานและการจัดการทรัพยากร :
ความมั่นคงด้านพลังงาน เป็นอีกมิติหนึ่งที่ภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์บรรจบกัน ประเทศไทยพึ่งพาการนำเข้าพลังงานเป็นหลักทำให้เสี่ยงต่อความผันผวนของราคาและการหยุดชะงักของอุปทาน นโยบายสาธารณะควรให้ความสำคัญกับการกระจายแหล่งพลังงาน การเพิ่มการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด และความร่วมมือด้านพลังงานในระดับภูมิภาค นอกจากนี้ การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะน้ำและที่ดินทำกิน เป็นสิ่งจำเป็นต่อความยั่งยืนในระยะยาวและความมั่นคงด้านอาหาร
การพัฒนาทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม :
ในยุคดิจิทัล ความสามารถด้านเทคโนโลยีเป็นตัวกำหนดอำนาจต่อรองของประเทศ ประเทศไทยต้องลงทุนวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและทุนมนุษย์ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในเศรษฐกิจในอนาคต
นโยบายควรส่งเสริมระบบนิเวศนวัตกรรม คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การสนับสนุนแหล่งเงินทุนและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน การเลือกมาตรฐานเทคโนโลยีในอนาคต พร้อมทั้งส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศให้เกิดประโยชน์กับแรงงานไทย
นโยบายต่างประเทศ :
นโยบายต่างประเทศของไทยควรมุ่งสู่การรักษารักษาความสัมพันธ์ที่สมดุลกับมหาอำนาจ พร้อมปกป้องผลประโยชน์ของชาติ สิ่งนี้ต้องอาศัยยุทธศาสตร์การทูตเชิงรุกที่ใช้เวทีทวิภาคีและพหุภาคี น่าเสียดายที่กลไกความร่วมมือพหุภาคีในระดับโลก เช่น องค์การการค้าโลก องค์การอนามัยโลก มีแนวโน้มที่จะได้รับการสนับสนุนน้อยลง
แต่ความร่วมมือในระดับภูมิภาคจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น เช่น ASEAN หรือ BIMSTEC นโยบายสาธารณะต้องตั้งอยู่บนความเข้าใจพลวัตของอำนาจโลก และมุ่งเสริมบทบาทของไทยในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยและผู้สร้างสะพานเชื่อมในเวทีระหว่างประเทศ
พัฒนาการศึกษา แรงงานและลดความเหลื่อมล้ำ :
การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนต้องมาพร้อมกับการพัฒนาการศึกษาและแรงงาน ไทยต้องปรับหลักสูตรการศึกษาให้ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ โดยเน้นการพัฒนาทักษะภาษาควบคู่กับทักษะดิจิทัล การคิดวิเคราะห์ และความสามารถในการปรับตัวในสังคมโลก พร้อมทั้งส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และส่งเสริมความเสมอภาคทางการศึกษา
นอกจากนี้ควรเร่งสร้างความร่วมมือกับประเทศในเอเชียและยุโรปเพื่อเปิดทางเลือกใหม่ๆ ในด้านแรงงาน รัฐควรเร่ง reskill และ upskill แรงงานให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมใหม่ ทั้งนี้ หากประชาชนมีโอกาสและรายได้ที่เพิ่มขึ้น ก็จะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
บทสรุป :
ในขณะที่ภูมิทัศน์โลกมีความซับซ้อนและแข่งขันมากขึ้น ไทยต้องเชื่อมโยงแนวคิดด้านภูมิรัฐศาสตร์และ ภูมิเศรษฐศาสตร์ไว้ในกรอบนโยบายสาธารณะ โลกจะไม่กลับไปเหมือนเดิมอีกต่อไป ความไม่แน่นอนจะกลายเป็นเรื่องปกติ และประเทศที่สามารถปรับตัวได้เร็วเท่านั้นที่จะอยู่รอด ประเทศไทยต้องกล้า “คิดและทำนอกกรอบ” เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ แข่งขันได้และยั่งยืนในระยะยาว
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 12 มิถุนายน 2568