หนี้ครัวเรือนทำการลงทุนหัวทิ่ม เลิกกิจการพุ่ง ค้าชายแดนตึงเครียด
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม พ.ค. 2568 หล่นมาอยู่ที่ 88.1 จาก 89.9 สารพัดปัจจัยลบ ทั้งน้ำท่วม หนี้ครัวเรือนทำการลงทุนหัวทิ่ม เลิกกิจการพุ่ง ค้าชายแดนตึงเครียด แนะรัฐเร่งมาตรการเชิงรุกหนุนความเชื่อมั่นกลับสู่ทิศทางบวก
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่าอยู่ที่ระดับ 88.1 ปรับตัวลดลง จาก 89.9 ในเดือนเมษายน 2568 ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์อุทกภัยและการรั่วไหลของสารเคมีในภาคเหนือ กระทบต่อภาคเกษตรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ประกอบกับคู่ค้าในต่างประเทศมีแนวโน้มชะลอการสั่งซื้อสินค้า จากการเร่งสต็อกสินค้าในช่วงก่อนหน้า
โดยเฉพาะในกลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้นความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดน ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการค้าชายแดนในระยะสั้น อีกทั้งค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ส่งออก รวมถึงราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ อาทิ ข้าว ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง กระทบกำลังซื้อในภูมิภาค
ภาวะอุปทานส่วนเกินในจีนและความไม่แน่นอนของการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐ ยังคงส่งผลให้เกิดการทะลักเข้ามาของสินค้าจีนเพิ่มขึ้น กระทบยอดขายผู้ผลิตในประเทศ และปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจ ส่งผลให้เกิดการชะลอการลงทุน สะท้อนจากยอดการจัดตั้งธุรกิจ (ช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2568) ลดลง -4.39% (YOY) ขณะที่ยอดการเลิกกิจการเพิ่มขึ้น 8.34% (YOY)

อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม ยังคงมีปัจจัยบวกจากธนาคารพาณิชย์มีการทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ทำให้ช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของภาคธุรกิจและครัวเรือน รวมถึงต้นทุนค่าพลังงานยังคงทรงตัวจากมาตรการตรึงราคาของภาครัฐ เช่น ค่าไฟฟ้า 3.98 บาท/หน่วย (งวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2568) และน้ำมันดีเซล 31.94 บาท/ลิตร
ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจในประเทศ 64.2% เศรษฐกิจโลก 61.2% สถานการณ์การเมืองในประเทศ 50.3% ราคาน้ำมัน 26.5% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 17.6% ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) 32.8%
ขณะที่ดัชนี คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 91.7 ลดลงจาก 93.3 ในเดือนเมษายน 2568 เนื่องจากผู้ประกอบยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับ Reciprocal Tariffs จากความ
ไม่แน่นอนการเจรจาทางภาษีกับสหรัฐอเมริกา อาจกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน และความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลกและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมาจากมาตรการลงทุนภาครัฐ 1.57 แสนล้านบาท ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม และท่องเที่ยว คาดว่าจะหนุนจ้างงาน สร้างรายได้ และเสริมศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ดังนั้น ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ คือ
(1)ขอให้ภาครัฐเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายและออกมาตรการป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าไทย เช่น พัฒนาระบบข้อมูล ติดตามข้อมูลการนำเข้าและส่งออกไปยังสหรัฐ การตรวจสอบย้อนกลับโรงงานที่ยื่นขอใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) และการทบทวนเงื่อนไขการประกอบกิจการในเขตปลอดอากร (Free Zone) เป็นต้น
(2)ขอให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการบรรเทาผลกระทบผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐ รวมถึงธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) อาทิ การขยายตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง การลดต้นทุนการผลิต
(3)ขอให้ภาครัฐจัดสรรงบประมาณในการส่งเสริมผลิตภาพการผลิตด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ สําหรับ SMEs และการนําเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Automation & Robotic) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
ที่มา ประชาติธุรกิจ
วันที่ 18 มิถุนายน 2568