ไทย-ซาอุฯ สัมพันธ์แน่นแฟ้น นำไปสู่การความก้าวหน้า 7 ด้าน
สนั่น เผยการประชุม “Thai – Saudi Investment Forum” ไทย-ซาอุฯ มีความสัมพันธ์อันดี นำไปสู่ความก้าวหน้า 7 ด้าน พร้อมพลิกฟื้นสร้างความเจริญร่วมกัน
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยภายหลังที่กระทรวงการต่างประเทศ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และคณะกรรมการ กกร. จัดการประชุม “Thai – Saudi Investment Forum” ว่า ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการตามแผนยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันในทุกมิติตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา และนำมาสู่การลงนาม MOU ระหว่างภาครัฐและเอกชนของสองประเทศ 27 ฉบับ
สำหรับความคืบหน้าด้านต่าง ๆ มีดังนี้
1) ด้านการค้า :
ซาอุดิอาระเบียสนใจที่จะร่วมลงทุนในภาคบริการและสุขภาพของไทย โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมด้านทรัพยากรบุคคล แพทย์ พยาบาล ผู้ให้บริการ และระดับผู้บริหาร ซึ่งไทยมีความพร้อมและมีศักยภาพสูง
2)ด้านธุรกิจเทคโนโลยี :
มีการหารือถึงความร่วมมือที่เกี่ยวข้องกับ Telemedicine, Game , IOT Platform, AI โดยซาอุดิอาระเบียมีความพร้อมด้านเทคโนโลยี 5G และพร้อมเชื่อมโยงศักยภาพด้านดังกล่าวร่วมกับภาคธุรกิจไทย
3)ด้านการเกษตรและอาหาร :
คณะผู้แทนจากซาอุดิอาระเบียให้ความสนใจกับตลาดของอาหารฮาลาลแช่แข็งและอาหารกระป๋องของไทย รวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยง และผลไม้ ที่ไทยมีชื่อเสียงระดับโลก
4)ด้านการลงทุน :
ซาอุดิอาระเบียกำลังพิจารณาให้ไทยเป็นอีกสถานที่เก็บน้ำมันดิบในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียตะวันออก ซึ่งไทยยินดีที่จะร่วมมือเพื่อพัฒนาภาคความมั่นคงด้านพลังงานร่วมกับซาอุดิอาระเบีย นอกจากนี้ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีกของประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ OR มีการเข้าไปลงทุนโดยเปิดสาขาแรกของ Amazon Café ในเมืองริยาด เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และมีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 150 สาขาภายใน 10 ปี
5)ภาคธุรกิจวัสดุก่อสร้างและการก่อสร้าง :
ซาอุดิอาระเบียประกาศแผนการพัฒนาเมืองใหม่แห่งอนาคต ภายใต้ชื่อ “เดอะไลน์” มีความยาว 170 กิโลเมตร ถือส่วนหนึ่งของ Saudi Vision 2030 ซึ่งต้องการดึงดูดนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากทั่วโลก โดยกลุ่มสยามพิวัฒน์ ที่ได้รางวัลระดับโลกในการพัฒนาศูนย์การค้า อาทิเช่น สยามพารากอน และไอคอนสยาม มีความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในเมกะโปรเจคดังกล่าว
6)ด้านความมั่นคงด้านอาหาร :
ซาอุดีอาระเบียกำลังลงทุนใน Smart Farming และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศ ซึ่งถือเป็นโอกาสของไทยจะมีโอกาสยกระดับและขยายตลาดภาคเกษตรของไทย ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาล
7)ภาคการท่องเที่ยว :
ทั้งสองประเทศต่างเห็นโอกาสที่จะยกระดับด้านการท่องเที่ยวและบริการร่วมกันให้มากขึ้น โดยประเทศไทยมีพื้นที่และความพร้อมทั้งในส่วนของ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ ที่สามารถร่วมมือกับซาอุดิอาระเบียได้ในอนาคต
นายสนั่นกล่าวอีกว่า เห็นได้ชัดว่าเพียงไม่กี่เดือนภาคเอกชนทั้งสองประเทศ ได้เริ่มเดินหน้าขับเคลื่อนแผนความร่วมมือโดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุนระหว่างกันได้ชัดเจน หลายบริษัทมีการ MOU และขยายการลงทุนร่วมกันแล้ว สำหรับในวันนี้ก็มีเอกชนทั้ง 2 ประเทศได้มาเจรจาธุรกิจกัน โดยเป็นฝ่ายไทย 150 บริษัท และ ทางซาอุดิอาระเบีย ประมาณ 60 บริษัท เป็นกลุ่ม Tourism & Hotel , Medical & Wellness, Manufacturing, Construction, Finance & Capital Market Digital Asset & Finance, Energy, Retail และ Food
ซึ่งการขับเคลื่อนการค้าการลงทุนร่วมกัน ก็ต้องอาศัยภาคเอกชนทั้ง 2 ประเทศร่วมกัน ในนามของ กกร. นับจากนี้คงต้องติดตามและเชื่อมโยงกับภาคเอกชนของซาอุดิอาระเบียมากยิ่งขึ้น ถือเป็นการพลิกฟื้นประวัติศาสตร์ที่ทั้งสองประเทศจะสร้างความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันต่อไป
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2565