อียูจับมือโมร็อกโกเสริมสร้างหุ้นส่วน ยุทธศาสตร์สีเขียว พลังงานทดแทน และอาหาร
เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 สหภาพยุโรป (อียู) และโมร็อกโกได้ร่วมลงนามความตกลงหุ้นส่วน ยุทธศาสตร์สีเขียวฉบับแรก (EU-Morocco Green Partnership) ณ กรุงราบัต โดยมีนาย Frans Timmermans รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรปเป็นผู้แทนอียูในพิธีลงนามความตกลงร่วมกับนาย Nasser Bourita รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของโมร็อกโก เพื่อพัฒนาความร่วมมือใน 3 มิติหลัก ได้แก่ สภาพภูมิอากาศและพลังงาน สิ่งแวดล้อม (รวมถึงประเด็นทางทะเลและการเดินเรือ) และเศรษฐกิจสีเขียว
โมร็อกโกเป็นประเทศพันธมิตรแรกที่อียูจัดทําหุ้นส่วนยุทธศาสตร์สีเขียวด้วยภายใต้กรอบนโยบาย European Green Deal โดยทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายร่วมกันในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพ ภูมิอากาศ มุ่งเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ําผ่านการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว เพิ่มการผลิตพลังงาน หมุนเวียน ส่งเสริมภาคการขนส่งและภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่ยั่งยืน ตลอดจนแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจ จากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว
โดยที่โมร็อกโกเป็นประเทศที่มีแสงแดดตลอดปี ทําให้มีศักยภาพในการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์สูง และเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารที่สําคัญไปยังอียู อาทิ ผัก ผลไม้และเมล็ดพืชน้ํามัน ในปี ค.ศ. 2021 โมร็อกโกส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปยังอียูมูลค่ากว่า 2.62 พันล้านยูโร ประกอบกับโมร็อกโกเป็นผู้นําด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศในทวีปแอฟริกาเป็นทุนเดิม จึงไม่แปลกใจที่อียูพิจารณาโมร็อกโกเป็น ประเทศหุ้นส่วนยุทธศาสตร์สีเขียวของอียูในช่วงเวลาที่อียูต้องการหาแหล่งพลังงานและอาหารอื่น ๆ เพื่อ ทดแทนการพึ่งพาการนําเข้าจากรัสเซียและเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานและอาหารในภูมิภาคยุโรป
ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์สีเขียวฉบับนี้ เป็นการเสริมสร้างกระบวนการหารือเชิงนโยบายและ ความร่วมมือด้านพลังงาน สภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจสีเขียวของทั้งสองฝ่าย ตลอดจนส่งเสริม โครงการต่าง ๆ ซึ่งครอบคลุมมิติด้านนวัตกรรม ความยั่งยืน สิ่งแวดล้อมและการสร้างงานในการเปลี่ยนสู่ เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2565 อียูได้อนุมัติงบประมาณ 115 พันล้านยูโรสําหรับโครงการ “Terre Verte” เป็นโครงการแรก เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเชิงนิเวศวิทยา การมีส่วนร่วม และนวัตกรรมของ ภาคเกษตรกรรมและป่าไม้ของโมร็อกโก ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติ “Green Generation และ “Moroccan Forests” ของโมร็อกโกสําหรับช่วงปี ค.ศ. 2020-2030
นอกจากนี้ ความตกลงฉบับนี้ยังเป็นการเพิ่มพลวัตรความสัมพันธ์ของภูมิภาคยุโรปและแอฟริกาให้ แน่นแฟ้นมากขึ้น ทั้งในระดับทวิภาคี ภูมิภาค และพหุภาคี ซึ่งคาดว่าจะกลายเป็นต้นแบบสําหรับความร่วมมือ ระหว่างอียูและประเทศพันธมิตรอื่น ๆ ในอนาคต อีกทั้งยังเป็นโอกาสพัฒนาความร่วมมือไตรภาคี (Triangular Cooperation) กับผู้ที่มีบทบาทระหว่างประเทศ รวมถึงภาคเอกชน เพื่อส่งเสริมความมุ่งมั่นในการบรรลุ เป้าหมายในข้อตกลงปารีส และร่วมกันผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (ข้อมูล : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์)
ที่มา globthailand
วันที่ 17 มกราคม 2566