รัฐมนตรีดอนประชุม JETC ตุรกี เร่งกระชับความร่วมมือศก. ตั้งเป้าสรุป FTA ปีนี้
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเดินทางมาร่วมประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย-ตุรกี (JETC) ครั้งที่ 4 ที่กรุงอังการา ประเทศตุรกี ได้เป็นประธานการหารือร่วมกับนายมุสตาฟา วารังก์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นการฟื้นกลไกการหารือ JETC ในรอบ 20 ปี และยังมีขึ้นในโอกาสครบรอบ 65 ปีความการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ตุรกี และครบรอบ 100 ปีของการสถาปนาสาธารณรัฐตุรกีอีกด้วย
หลังเสร็จสิ้นการประชุมนายดอนได้ในวารังก์ได้ร่วมกันลงนาม ในเอกสารผลลัพธ์การประชุม JETC ครั้งที่ 4 และเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศของไทย (TICA) กับหน่วยงานด้านความร่วมมือของตุรกี (TIKA)
นายดอนแถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า การประชุม JETC ซึ่งเป็นกลไกการเจรจาระดับสูงสุดในความสัมพันธ์ทวิภาคีของทั้งสองประเทศในครั้งนี้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์และเกิดผลอย่างมาก เราได้แบ่งปันมุมมองที่คล้ายกันในหลายประเด็น
นายดอนกล่าวว่า ประการแรกคือการจัดการกับความท้าทายต่างๆ ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งต้องการความร่วมมือที่มากขึ้นระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อฟื้นฟูความยืดหยุ่นและความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และเพื่อให้แน่ใจว่าเรามีการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและอยู่บนพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล โดยโมเดลเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green ของไทยและแผนปฏิบัติการ Green Deal ของตุรกี สามารถเกื้อกูลกันได้ตามธรรมชาติ และเรายังสามารถร่วมมือในด้านความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางพลังงานผ่านการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน
นายดอนกล่าวว่า ประการที่สอง เศรษฐกิจโลกควรอยู่บนพื้นฐานของการค้าที่เสรี แข่งขันได้ ยั่งยืนและสมดุล นั่นคือเหตุผลที่เราต้องทำงานร่วมกันเพื่อเร่งสรุปข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ให้เร็วที่สุด เพื่อให้การค้าของเรามีความสมดุลและหลากหลายขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายการค้าที่ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการฟื้นฟูคณะกรรมการการค้าร่วมและการจัดประชุมครั้งแรกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะช่วยส่งเสริมการค้าทวิภาคีและเป็นเวทีสำหรับการหารือและการแก้ปัญหาความแตกต่าง ทั้งยังเห็นความสำคัญของความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการขับเคลื่อนความร่วมมือทางธุรกิจและเศรษฐกิจของเราไปข้างหน้า
รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเ ทศกล่าวว่า ประการที่สาม ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนและการพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ที่ประสบความสำเร็จ เราจึงต้องร่วมมือกันมากขึ้นในด้านการศึกษาและอุดมศึกษา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การท่องเที่ยวและความร่วมมือในมิติต่างๆ ที่จะทำให้ความร่วมมือของเราแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ขณะที่นายวารังก์กล่าวว่า ไทยถือเป็นผู้เล่นหลักที่มีความสำคัญในเอเชีย และเป็นหนึ่งใน 18 ประเทศที่ตุรกีพุ่งเป้าหมายในการเพิ่มพูนความสัมพันธ์ เราเห็นว่าไทยเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ โดยในปีที่ผ่านมามูลค่าการค้าระหว่างตุรกีและไทยเพิ่มขึ้นถึง 18% ซึ่งถือว่ามีความหมายมากแต่เชื่อว่ายังไม่เพียงพอ เพราะยังมีศักยภาพที่จะขยายความร่วมมือกันต่อไปได้อีก โดยทั้งสองฝ่ายต่างสนับสนุนให้มีการเพิ่มมูลค่าทางการค้าและขยายความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งรวมถึงการจัดทำความตกลงเอฟทีเอที่หวังว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ภายในปีนี้
นายวารังก์กล่าวว่า การประชุม JETC จะช่วยให้ทั้งสองประเทศสามารถส่งเสริมความร่วมมือในหลากหลายด้าน ท่ามกลางสงครามยูเครนและความท้าทายต่างๆ กลไกเช่นนี้จึงมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น เราได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนความร่วมมือใหม่ใหม่ภายใต้ JETC ที่เพิ่งได้มีการลงนามไปซึ่งครอบคลุมสาขาต่างๆ มากมาย และเรายังจะกระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดมากขึ้นจากความร่วมมือของTIKA และ TICA ที่เพิ่งลงนามไป
นายวารังก์กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีบริษัทตุรกีเข้าไปลงทุนในประเทศไทยหลายบริษัท และใช้ไทยเป็นฐานในภูมิภาค ตุรกีก็อยากจะเห็นบริษัทไทยเข้ามาลงทุนในตุรกีเพิ่มมากขึ้น และเรายินดีที่จะต้อนรับการมาลงทุนของไทย ทั้งยังหวังว่าการประชุมที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะเป็นการตอบสนองต่อผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศต่อไป
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 27 มกราคม 2566