ท่องเที่ยวลุ้นรัฐบาลใหม่ จูนเครื่องจักรดูดรายได้
เครื่องยนต์ภาคการท่องเที่ยวไทยถูกเคาะสนิมกลับมาเดินหน้าใหม่อีกครั้ง หลังดับไปร่วม 3 ปี จากผลกระทบโควิด-19 ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวต้องหยุดชะงักลงทั่วทั้งโลก
ในปี 2565 หลังจากไทยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไร้เงื่อนไขการกักตัว นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยถึง 11 ล้านคน ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน สะท้อนถึงความต้องการหรือดีมานด์ ในการเข้ามาเที่ยวไทยที่มีอยู่สูงมาก สร้างรายได้รวมทั้งไทยเที่ยวไทยและต่างชาติเที่ยวไทย อยู่ประมาณ 1.28 ล้านล้านบาท
เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2566 ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาคการท่องเที่ยวไทย แบกรับความคาดหวังในการเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพียงตัวเดียวที่เหลืออยู่ เพราะภาคการส่งออกที่ตีคู่กันมานั้นวิ่งได้ช้าลง ไม่สดใสเท่าที่ควร
แม้หลายฝ่ายจะยอมรับและมองในภาพที่คล้ายกันว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยถือเป็นเครื่องจักรในการสร้างรายได้เข้าประเทศ กระตุ้นให้มีเม็ดเงินหมุนเวียน ช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น แต่ที่ผ่านมาภาคเอกชนหรือนักวิชาการพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ภาคการท่องเที่ยวไทยยังสามารถไปได้ไกลมากกว่านี้ หากได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่
ย้อนกลับไปดูงบประมาณประจำปีของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กัปตันที่จะนำพาภาคการท่องเที่ยวไทยให้บินสูงขึ้นอีก พบว่าถูกปรับลดลงต่อเนื่องทุกปี อย่างปี 2565 ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำนวน 9,650.9 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ 2564 จำนวน 4,000.4 ล้านบาท หรือลดลง 29.3% หรือปีงบประมาณ 2564 ก็ได้รับจัดสรรงบประมาณรวมทั้งสิ้น 14,161.4 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ 2563 จำนวน 875.7 ล้านบาท หรือลดลง 5.8%
ในวาระที่ประเทศไทยเข้าสู่การเปลี่ยนผ่าน มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญของขั้วอำนาจการบริหารประเทศ หลังจากมีการเลือกตั้งใหม่เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่าพรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่ง เมื่อมีรัฐบาลใหม่ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ด้วยนั้น ก็ตามมาด้วยคำถามมากมายเกี่ยวกับทั้งนโยบาย ฝีมือในด้านการบริหาร ความเก๋าเกมต่างๆ ที่ยังไม่เคยได้เห็นกัน เพราะเป็นขั้วอำนาจที่ใหม่สดจริงๆ
จึงต้องมาพิจารณาว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเดินหน้าต่อไปในทิศทางใด ที่ผ่านมามีการประเมินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับท่องเที่ยวแล้ว ยังไม่พบว่ามีความชัดเจนมากเพียงพอที่จะมองทะลุได้ว่าจะเดินหน้าไปทางใดหรือภาพจะเป็นอย่างไร
ในอดีตที่ผ่านมา ไทยถือว่าเปิดประเทศท่องเที่ยวได้เร็ว ต่อสู้กับโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีการบูรณาการร่วมกันที่ดีอีก จะมีโอกาสรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากกว่าตัวเลข 11 ล้านคนในปี 2565 อีก เพราะถ้าเทียบกับปี 2562 ต่างชาติเที่ยวไทยกว่า 40 ล้านคน ยังมีช่องว่างของตัวเลขอีกเยอะมาก
ยกตัวอย่างการบูรณาการร่วมกันที่ดีคือ ก่อนจะออกประกาศเปิดประเทศ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องหารือกันให้ชัดเจน เพื่อให้การประกาศนโยบายใดออกมาจะต้องไม่เกิดการสื่อสารที่คาดเคลื่อน หรือมีความไม่ชัดเจนใด เพราะถือเป็นเรื่องระดับประเทศ
แต่ภาพที่ผ่านมานั้น ไทยมีทั้งประกาศเปิดวันนี้ พรุ่งนี้ประกาศเปลี่ยนเป็นไม่เปิดแล้ว กำหนดเงื่อนไขในการไม่กักตัว แต่รายละเอียดยังไม่ชัดเจน ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการเข้ามาเที่ยวไทย และสูญเสียโอกาสด้วย
พอมีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่ ก็ฝากความหวังว่าจะได้เห็นการสานต่อนโยบาย โครงการ หรือแคมเปญที่ดีอยู่แล้ว ให้ดีมากขึ้นอีก รวมถึงผลักดันนโยบายที่มีประโยชน์ใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้บินได้สูงมากกว่าเดิม
มองว่าสิ่งที่ควรสานต่อเป็นเรื่องที่ทำได้ดีอยู่แล้ว แต่มีโอกาสพัฒนาได้ดีมากขึ้นอีก อาทิ โครงการเที่ยวเมืองรอง กระตุ้นให้เกิดการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ เกิดการกระจายตัวของรายได้ด้วย สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ปิดช่องว่างของการเดินทางที่ชะลอตัวลงในบางช่วงเวลา รวมถึงการเพิ่มวันพำนักในประเทศไทย เพื่อให้เกิดการพักค้างที่มากขึ้น ช่วยให้เกิดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวมากขึ้น
ธเนศ ศุภรสหัสรังสี รักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดชลบุรี ระบุว่า สิ่งแรกที่อยากเห็นรัฐบาลใหม่เร่งฟื้นการท่องเที่ยวไทย ให้เดินหน้าได้อย่างดีที่สุด เป็นเรื่องการเพิ่มเที่ยวบิน ถือเป็นประตูในการเข้ามาท่องเที่ยวไทย หากเพิ่มเที่ยวบินมากขึ้น สอดรับกับความต้องการ (ดีมานด์) ที่ยังมีอยู่และมีเพิ่มขึ้น ราคาตั๋วเครื่องบินกลับไปสู่จุดที่มีความสมเหตุสมผลมากขึ้น เป็นปัจจัยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
“เสนอให้พิจารณายกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าออกไปก่อน ต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศมีการใช้จ่ายสูงมาก แม้มองว่าเราได้ค่าธรรมเนียมประมาณ 1-2 พันบาท เป็นรายได้เข้าประเทศก็จริง แต่หากประเมินในแง่การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว เชื่อว่าได้มากกว่าค่าธรรมเนียมที่เก็บไปแน่นอน” ธเนศทิ้งท้าย
ขณะที่ ศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ ประธานบริหารศิริปันนา วิลล่ารีสอร์ท และสปาเชียงใหม่ ในฐานะนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่เผยการทำเอ็มโอยู 8 พรรคการเมือง รวม 313 เสียง เพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ว่า มีข้อที่ 8 ระบุว่า ฟื้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ และกระจายรายได้สู่ชุมชน แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นการท่องเที่ยว ซึ่งผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ต้องพึ่งท่องเที่ยวเป็นรายได้หลัก ดังนั้น นโยบายฟื้นเศรษฐกิจต้องให้ความสำคัญท่องเที่ยวเป็นอันดับแรก ตามด้วยภาคบริการ อุตสาหกรรมเกษตร และวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีนวัตกรรม เพื่อเพิ่มผลผลิตและเพิ่มมูลค่า พร้อมสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ ให้เดินหรือขับเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกัน
ศุภนิมิตรบอกอีกว่า ส่วนตัวยังเห็นด้วยกับ MOU ข้อที่ 9 การแก้ระเบียบกฎหมายที่เป็นอุปสรรคการทำมาหากินประชาชน โดยเฉพาะท่องเที่ยว ต้องเพิ่มการอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอนการออกวีซ่า ตรวจคนเข้าเมือง และเพิ่มสายการบินเข้าประเทศ
อยากให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพแก้ระเบียบกฎหมายท่องเที่ยว อาทิ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าเป็นไปได้อยากให้จัดตั้งศูนย์บริการท่องเที่ยวแบบครบวงจรเพื่อบริการนักท่องเที่ยวจุดเดียว โดยเฉพาะการขออนุญาตเดินทาง หรือใช้บริการด้านต่างๆ
ส่วนนโยบายส่งเสริมท่องเที่ยว อาจต่อยอดส่งเสริมท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรองไปด้วยกัน ท่องเที่ยววิถีชุมชน เพื่อกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นโดยเฉพาะเชียงใหม่ มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 60% คนไทย 40% แต่ 3 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการบอบช้ำจากโควิด ยังไม่มีหน่วยงานรัฐช่วยเหลือ เพิ่งเริ่มฟื้นตัวได้เล็กน้อยแต่จำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ประเมินไว้
“อุปสรรคสำคัญของผู้ประกอบการคือต้นทุนบริการสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะค่าไฟและค่าจ้าง ต้นทุนสูงขึ้น 20-30% ไม่สามารถแข่งขันกับเพื่อนบ้านได้ นักท่องเที่ยวบางส่วนหันไปท่องเที่ยวญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกงมากขึ้น รัฐบาลต้องมีนโยบายและกลยุทธ์การตลาดแบบใหม่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวไม่ใช่ปล่อยภาคเอกชนไปพูดคุยเจรจากันเอง จัดโรดโชว์ท่องเที่ยวแบบมหัศจรรย์หรืออันซีน พุ่งเป้าไปยังแหล่งท่องเที่ยวใหม่ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ภายใต้การมีส่วนร่วมของ อปท.และคณะกรรมการชุมชนเพื่อเดินไปด้วยกัน” ศุภมิตรสรุปพร้อมเสนอแนะ
สำหรับหมุดหมายของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย จะปักไว้จุดไหน สูงเท่าใด คงต้องติดตามนโยบายในการสนับสนุนของรัฐบาลใหม่ที่หวังว่าจะออกมาชัดเจนในเร็ววันนี้ แม้ยังต้องลุ้นกับการจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ได้อยู่ก็ตาม
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 24 พฤษภาคม 2566