ลุ้นตี๋-หมวยทะลักไทย ช่วยปลุกเที่ยว-พยุงเศรษฐกิจ
ภาคการท่องเที่ยวไทยอยู่ระหว่างการฟื้นตัว ทั้งการกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการเดินทางของไทยเที่ยวไทย โดยเฉพาะตลาดต่างชาติ ที่รอคอยมาเนิ่นนาน เพราะนับตั้งแต่เกิดการระบาดโควิด-19 เมื่อต้นปี 2563 ในประเทศไทย ก็ส่งผลกระทบต่อการหายไปของนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบเป็นศูนย์
หากเทียบกับปี 2562 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยอยู่ที่ 39.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4.2% เมื่อเทียบกับปี 2561 สร้างรายได้เฉพาะตลาดต่างชาติเที่ยวไทยกว่า 1.93 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.05% เมื่อเทียบกับปี 2561 ซึ่งหากรวมกับตลาดไทยเที่ยวไทย จะสร้างรายได้รวมอยู่ประมาณ 3 ล้านล้านบาท
จากตัวเลขสถิติจะสะท้อนให้เห็นถึงภาคการท่องเที่ยวไทย พึ่งพารายได้จากตลาดต่างชาติคิดเป็นสัดส่วนกว่า 2 ใน 3 ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงมาก โดยหากประเมินในปี 2562 นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.จีน 2.มาเลเซีย 3.อินเดีย 4.เกาหลี และ 5.ลาว ส่วนตลาดที่สร้างรายได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.จีน 2.มาเลเซีย 3.รัสเซีย 4.ญี่ปุ่น และ 5.อินเดีย
จะเห็นว่าจีนถือเป็นตลาดที่มีความสำคัญกับภาคการท่องเที่ยวไทยทั้งในแง่ของจำนวนและรายได้ ทำให้ในปี 2566 ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ ต่างคาดหวังเห็นการฟื้นตัวกลับเข้ามาเที่ยวไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีน ในอัตราที่รวดเร็วและดีกว่าปี 2565 ซึ่งข้อมูลเบื้องต้นจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีจำนวนนักท่องเที่ยวสัญชาติจีนเข้ามาเที่ยวไทยเมื่อปีที่แล้วเพียง 273,567 คน
ภาพความหวังมีมากขึ้นเมื่อจีนประกาศอนุญาตให้ทำทัวร์จีนไปเที่ยวต่างประเทศได้ และไทยเป็นหนึ่งในประเทศนำร่องระยะแรก เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้มองว่าจะได้เห็นทัวร์จีนเข้ามาเที่ยวไทยล้นทะลักเหมือนปี 2562 ได้ แต่จากข้อมูลสะสมรายวันเบื้องต้นของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีจำนวนนักท่องเที่ยวสัญชาติจีนเข้ามาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-31 พฤษภาคม 2566 (5 เดือน) อยู่ที่ 1,129,243 คน
จากอัตราการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนในช่วง 5 เดือนแรกของปี ภาคเอกชนประเมินว่าค่อนข้างฟื้นตัวช้าเมื่อ เทียบกับอัตราการเข้ามาของปี 2562
ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้ข้อมูลว่า ในปี 2566 ตั้งเป้ารายได้รวมการท่องเที่ยวไว้ที่ 2.38 ล้านล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 25 ล้านคน สร้างรายได้ 1.5 ล้านล้านบาท และนักท่องเที่ยวชาวไทย 135 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 880,000 ล้านบาท โดยประเมินเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีน ตั้งเป้าหมายปี 2566ไว้ที่ 5 ล้านคน เทียบกับปี 2562 ที่เข้ามากว่า 11 ล้านคน เป็นการดึงดูดให้เข้ามาเที่ยวไทยฟื้นตัวขึ้นก่อน 50%
ตอนนี้ยังมั่นใจว่าจีนเที่ยวไทยจะได้ไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน เพราะปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไขจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ การบริการภาคพื้นดินที่สนามบินซึ่งส่งผลต่อการเพิ่มเที่ยวบินอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป การเร่งรัดและอำนวยความสะดวกในการออกวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีนแบบหมู่คณะ ผู้ว่าการททท.ระบุ
ข้อมูลล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1-11 มิถุนายน 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยสะสมแล้ว 777,747 คน โดยสถิติล่าสุดพบว่าจีนสลับกับมาเลเซีย เป็นที่หนึ่งของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวรายวันอย่างต่อเนื่อง
ด้าน ศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เสริมว่า แนวโน้มตลาดจีน ขณะนี้มีเข้ามาเที่ยวไทยสะสมอยู่ที่ 1 ล้านคนกว่าๆ หากรวมทั้งไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของปีนี้ น่าจะได้ไม่ถึง 2 ล้านคน แต่ในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ ยังคาดหวังว่าจะได้เห็นดันถึง 4-5 ล้านคนตามเป้าหมายได้ แต่ภาคเอกชนไม่ได้หวังว่าจะมีจีนเข้ามาเที่ยวไทยแค่ 5 ล้านคนเท่านั้น แต่หวังไปถึง 7 ล้านคน
เพราะขณะนี้ชาวจีนที่เข้ามาเที่ยวไทย มาแบบเที่ยวด้วยตัวเอง (เอฟไอที) เป็นหลัก มีกลุ่มนักธุรกิจเข้ามาบ้าง แต่ในกรุ๊ปทัวร์จีนยังไม่มีเข้ามาเที่ยวไทยมากนัก เพราะติดข้อจำกัดในการยื่นเอกสารบางรายการในระบบอีวีซ่าที่ไม่คุ้นเคยเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
สิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขเพื่อกระตุ้นและดึงดูดให้จีนเข้ามาเที่ยวไทยในอัตราที่เร็วขึ้น คือ การอำนวยความสะดวกด้านทำวีซ่ามากที่สุด สถานกงสุลจะต้องปรับตัว จุดที่นักท่องเที่ยวจีนหรือผู้ประกอบการจีนต้องการอะไร หรือติดขัดอะไร รวมถึงสื่อสารไม่เข้าใจในส่วนใด กงสุลจะต้องทำตามนโยบายของรัฐบาล ในการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ อะไรที่ไม่สะดวกหรือไม่เข้าใจก็ต้องทำให้เข้าใจและอำนวยความสะดวกมากขึ้น นายกแอตต้าฝากภาครัฐช่วยแก้ไขข้อติดขัด
ขณะที่ กาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงการขอวีซ่าของชาวจีนว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนสามารถเข้าไทยได้โดยการขอรับการตรวจลงตราจากสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ (สอท.และ สกญ.) ผ่านระบบการตรวจลงตราอิเล็กทรอนิกส์ (e-Visa) หรือขอรับการตรวจลงตรา ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival) ซึ่งระบบ e-Visa เป็นการพัฒนาระบบการตรวจลงตราให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยผู้ร้องสามารถขอรับการตรวจลงตราด้วยตนเอง หรือผ่านบริษัทนำเที่ยว โดยไม่ต้องเดินทางมายัง สอท.หรือ สกญ. และไม่ต้องกลับไปทำที่ภูมิลำเนา เพียงแต่ต้องอัพโหลดเอกสารประกอบการขอตรวจลงตราเข้าระบบให้ถูกต้องและครบถ้วน จากนั้นจะใช้เวลาพิจารณาไม่เกิน 15 วันทำการ
ระบบ e-Visa สามารถรองรับปริมาณคำร้องได้มากถึง 5 ล้านคนต่อปีในระบบปัจจุบัน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 15 ล้านคนต่อปีในอนาคต โดยไม่ได้จำกัดปริมาณคำร้องต่อวัน ทำให้นักท่องเที่ยวหรือบริษัทนำเที่ยวสามารถยื่นคำร้องได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สอท.และ สกญ.ไม่มีข้อจำกัดจำนวนการออกวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางผ่านบริษัททัวร์แต่อย่างใด และไม่ได้มีการจำกัดจำนวนครั้งในการอนุมัติการตรวจลงตราให้แก่นักท่องเที่ยว เพียงแต่มีความจำเป็นจะต้องตรวจสอบเพื่อป้องกันมิให้เกิดการลักลอบทำงานแอบแฝงหรือเข้าไทยไม่ถูกวัตถุประสงค์ เช่น ทัวร์ศูนย์เหรียญ และวีซ่ารัน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศแจง
รอลุ้นว่าครึ่งปีหลังจากนี้ไป ตลาดนักเที่ยวชาวจีนจะเดินทางมาไทยทะลุเป้าหรือไม่ เพราะเป็นกลุ่มหลักที่จะช่วยปลุกการท่องเที่ยวให้คึกคักขึ้น และเป็นเครื่องจักรหลักที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 15 มิถุนายน 2566