หอการค้าฯ จี้ฟื้นเวที กรอ.ทุกระดับ จับมือแน่นรัฐ-เอกชนลุย ดัน GDP โต 5%
คณะรัฐมนตรี(ครม.)ชุดใหม่ลงตัวแล้ว หลังจากก่อนหน้านี้มีการเปลี่ยนชื่อรัฐมนตรีที่นั่งในหลายกระทรวงที่ถูกสังคมมอง ทั้งที่มีความเหมาะสมกับตำแหน่ง แต่บางคนถูกมองความรู้ความสามารถไม่ตรงกับตำแหน่ง
ในส่วนของภาคเอกชนที่ต้องประสานการทำงานใกล้ชิดกับทุกรัฐบาลเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้ามีมุมมองในเรื่องนี้อย่างไรนั้น นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศ ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” และยังให้ความเห็นถึงวาระเร่งด่วนของรัฐบาล ข้อเสนอแนะเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแก้ปัญหาปากท้องไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง
นายสนั่น กล่าวว่า จากรายชื่อ คณะรัฐมนตรี(ครม.) “ครม.เศรษฐา 1” ในเรื่องความเหมาะสมของตำแหน่งต่าง ๆ เอกชนเห็นว่าหลายตำแหน่งมีการจัดวางตามแนวนโยบายหลักที่แต่ละพรรคได้นำเสนอไว้ตอนหาเสียง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็มีการจัดวางตำแหน่งรัฐมนตรีที่เน้นกระทรวงเศรษฐกิจซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของพรรคที่ได้หาเสียงไว้
ขณะที่หลายกระทรวงมีการปรับเปลี่ยนบุคคลที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาทำหน้าที่ บางกระทรวงมีบุคคลที่อยู่ในพรรคที่เคยบริหารกระทรวงดังกล่าวมาก่อนหน้านี้ ทำให้มีประสบการณ์ในการบริหารงานต่อได้ทันที และยังมีรัฐมนตรีหน้าใหม่เข้ามาทำหน้าที่เพิ่มเติมอยู่บ้าง จะเห็นภาพของการผสมผสานทั้งคนเก่าที่มีประสบการณ์ทางการเมืองและการบริหาร รวมถึงคนใหม่ ๆ ที่มีไฟ ที่พร้อมขับเคลื่อนนโยบายตามที่ได้นำเสนอไว้ในช่วงเลือกตั้ง เพื่อเดินหน้าแก้ไขปัญหาประเทศโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่เป็นประเด็นเร่งด่วนในขณะนี้
3 วาระเร่งด่วนประเทศ :
สำหรับเรื่องเร่งด่วนที่หอการค้าฯ ต้องการส่งสัญญาณถึงรัฐบาลใหม่เพื่อให้เร่งดำเนินการทันทีในช่วง 100 วันแรก ได้แก่
1)การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายลดค่าครองชีพ และลดต้นทุนภาคเอกชนทั้งค่านํ้ามันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัญหาที่กระทบต่อการแข่งขันและการส่งออกของไทย รวมถึงการแก้ไขปัญหาหนี้ผู้ประกอบการและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ควบคู่ไปกับมาตรการช่วยเหลือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ
2)เร่งผลักดันภาคการท่องเที่ยว ที่เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายและถือเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกเรื่องการทำวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนให้รวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดขั้นตอนกรอก e-VISA น้อยลง หรือ Free VISA ให้นักท่องเที่ยวจีน โดยในปีนี้นักท่องเที่ยวจีนตั้งเป้าหมายไว้ 5 ล้านคน แต่สถานการณ์ 7 เดือนแรก พบว่ามีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาแล้วเกือบ 2 ล้านคน ซึ่งประเด็นปัญหาหลักคือระบบ e-VISA ที่กระบวนการกรอกข้อมูลมาก ไม่สะดวกและไม่เอื้อต่อการตัดสินใจเข้ามา ดังนั้นต้องเร่งแก้ไข เพราะชาวจีนอยากมาเที่ยวไทยอยู่แล้ว แม้ช่วงนี้เศรษฐกิจภายในจีนเองไม่ดี การเดินทางไปยุโรปหรือสหรัฐฯ ค่าใช้จ่ายสูง ส่วนญี่ปุ่น และไต้หวัน ก็มีความขัดแย้งกัน ดังนั้นประเทศไทยคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
3)เร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่ยังค้างท่ออยู่ และจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ให้เกิดความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนแผนงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตลอดจนเร่งสร้างความเชื่อมั่น เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ จากต่างชาติ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และเป็นผลดีต่อตัวเลขการส่งออก โดยหอการค้าฯ หวังว่าหากรัฐบาลใหม่เข้ามาโฟกัสภาคการส่งออกในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี ตัวเลขการส่งออกน่าจะกลับมาตีตื้นขึ้นมาเป็นบวก และภาพรวมทั้งปีอาจติดลบเล็กน้อยซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่พอรับได้
ฟื้นเวที กรอ.ดันจีดีพีโต 5% :
นายสนั่น กล่าวอีกว่า ทางหอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่านโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทของรัฐบาลเพื่อไทย วงเงินราว 5.6 แสนล้านบาท จะช่วยกระตุ้น GDP ให้เพิ่มขึ้นได้ 3-4% และคาดว่าจะมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 2-3 รอบ หรือคิดเป็น 1-1.5 ล้านล้านบาท ส่วนนี้จะช่วยดึงกำลังซื้อภายในประเทศให้กลับมาคึกคักอีกครั้งได้ทันที ทำให้ GDP ของไทยในปีหน้าขยายตัวได้ราว 5% ภายใต้เงื่อนไขการส่งออกที่สามารถขยายตัวได้ 3 - 5%
“สิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่จะต้องเร่งดำเนินการทันทีเพื่อไม่ให้ GDP ปีนี้ไม่หลุดเป้า 3% คือการเร่งเปิดการท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเต็มที่ ทั้งนี้หอการค้าฯ ได้มีการระดมความเห็นและข้อเสนอแนะจากหอการค้าจังหวัด สมาคมการค้า และหอการค้าต่างประเทศ จัดทำ Priority Issues และจะมีการรวบรวมข้อเสนอภาคเอกชนในนาม กกร. นำเสนอรัฐบาลชุดใหม่นำไปพิจารณาแก้ไขและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้สามารถกลับมาเติบโตได้ไม่ตํ่ากว่า 3% ในปีนี้”
อย่างไรก็ตาม หอการค้าฯ และภาคเอกชน ขอให้รัฐบาลชุดใหม่ฟื้นเวทีความร่วมมือภาครัฐและเอกชน (กรอ.)อย่างใกล้ชิดที่เคยดำเนินการมาก่อนหน้านี้ ทั้งการประชุม กรอ.ส่วนกลาง ที่มีนายกฯ เป็นประธาน และ กรอ.ระดับหน่วยงาน เช่น กรอ.พาณิชย์ กรอ.พลังงาน และในระดับภูมิภาค เพื่อให้สามารถเป็นกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเศรษฐกิจระยะกลาง และระยะยาวได้อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม ทั้งหมดนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เป้าหมายการผลักดัน GDP สามารถขยายตัวได้ปีละไม่ตํ่ากว่า 5% มีความเป็นไปได้
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 3 กันยายน 2566