เงินเฟ้อในโลกยุคใหม่ โจทย์ใหม่ผู้กำหนดนโยบาย
เงินเฟ้อ (Inflation) เป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการในช่วงเวลาหนึ่ง ในโลกยุคใหม่นี้ การพิจารณาเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะเน้นถึงปัจจัยที่ซับซ้อนมากขึ้น และผลกระทบที่กว้างขวางขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อในอดีต
เงินเฟ้อสมัยใหม่ เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายของโลกในหลายมิติที่เชื่อมโยงกัน ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการผลิตและการบริโภค รวมถึงการเกิดขึ้นของเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อ เมื่อมีการใช้ทรัพยากรอย่างไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ประกอบกับความผันผวนของตลาดโลกมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น ทำให้เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศหนึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าประเทศอื่นได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ นโยบายการเงินและการคลังที่ไม่สมดุล เช่น นโยบายการเงินและการคลังที่มุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการลดอัตราดอกเบี้ยและเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลสามารถทำให้เกิดเงินเฟ้อได้หากไม่มีการควบคุมที่ดี โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินในระบบโดยไม่มีการเพิ่มขึ้นของการผลิตสินค้าและบริการสามารถทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เงินเฟ้อสมัยใหม่ที่น่าจับตามองในโลกยุคใหม่นี้ ประกอบไปด้วย
เงินเฟ้อสีเขียว (Greenflation) หมายถึงการเพิ่มขึ้นของราคาที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือคาร์บอนต่ำ เช่น ราคาลิเธียมซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่รถไฟฟ้า ราคาแผงโซลาร์เซลล์ที่อาจสูงขึ้นจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นเพื่อผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์
หรือราคาคาร์บอนเครดิตที่อาจเพิ่มขึ้นจากความต้องการของบริษัท ที่ต้องการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งราคาส่วนหนึ่งก็จะส่งผ่านไปที่ผู้บริโภค
รูปแบบเงินเฟ้อนี้ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนจากการกำกับดูแลจาก รัฐบาลทั่วโลกที่กำลังดำเนินมาตรการการควบคุมสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวดขึ้น
ซึ่งมักต้องการการลงทุนในเทคโนโลยีและกระบวนการที่สะอาดขึ้น อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีการแบบเดิม เช่น การเปลี่ยนจากการผลิตพลังงานจากถ่านหินไปสู่แหล่งพลังงานหมุนเวียนเช่นลมหรือแสงอาทิตย์ที่ต้องการการลงทุนเริ่มต้นที่มาก
การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานไปสู่เทคโนโลยีสีเขียว ทำให้ความต้องการทรัพยากรอย่างเช่นแร่หายากที่ใช้ในแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าและระบบพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นอย่างมาก นำไปสู่การขาดแคลนและราคาสูงขึ้น
การกำหนดราคาคาร์บอน เช่น กลไกเช่นภาษีคาร์บอนและระบบการซื้อขายคาร์บอนกำหนดต้นทุนในการปล่อยคาร์บอน อาจถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคในรูปของราคาสินค้าและบริการที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์สูงขึ้น
ขณะที่การเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว แต่ก็ก่อให้เกิดแรงกดดันทางเงินเฟ้อในระยะสั้นที่ต้องได้รับการจัดการอย่างระมัดระวัง
เงินเฟ้อจากภาวะร้อนขึ้น (Heat Inflation) การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศส่งผลให้การผลิตสินค้าเกษตรและทรัพยากรธรรมชาติเกิดความผันผวน ทำให้ราคาสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อเงินเฟ้อในระดับประเทศและระดับโลก
เงินเฟ้อจากภาวะร้อนขึ้นเกิดขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของความถี่และความรุนแรงของเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง เนื่องจากภาวะโลกร้อนซึ่งสามารถขัดขวางกิจกรรมทางเศรษฐกิจ นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาในหลายช่องทาง ทั้งผลกระทบทางการเกษตร เช่น คลื่นความร้อน ภัยแล้ง และน้ำท่วมที่รุนแรงสามารถทำลายพืชผล ลดผลผลิตทางการเกษตรและทำให้ราคาอาหารเพิ่มขึ้น
อุณหภูมิที่สูงขึ้นยังทำให้ความต้องการพลังงานในการทำความเย็นเพิ่มขึ้น ทำให้การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่มีการใช้งานสูงสุด คลื่นความร้อนและเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรงยังสามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สะพาน และสายส่งไฟฟ้า
ซึ่งการซ่อมแซมและปรับปรุงมีค่าใช้จ่ายสูง และค่าใช้จ่ายเหล่านี้ส่งต่อไปยังผู้บริโภคผ่านภาษีหรือค่าบริการที่สูงขึ้น รวมถึงเบี้ยประกันความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
“เงินเฟ้อดิจิทัล” (Digital Inflation) เกิดจากการเพิ่มขึ้นของราคาในเศรษฐกิจดิจิทัล ขณะที่สังคมสมัยใหม่พึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้นเพื่อสื่อสาร ทำงาน และความบันเทิง ความต้องการเทคโนโลยีเหล่านี้ก็เพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถผลักดันให้ราคาของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการที่เกี่ยวข้องสูงขึ้น
การแพร่หลายของบริการที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เช่น การประมวลผลแบบคลาวด์ นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการเก็บรักษาและการประมวลผลข้อมูล บริษัทต่างๆ ส่งผ่านต้นทุนเหล่านี้ไปยังผู้บริโภคในรูปของค่าบริการและค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องข้อมูล รักษาความมั่นคงทางไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
เศรษฐกิจดิจิทัลยังมักถูกครอบงำโดยผู้เล่นรายใหญ่ไม่กี่รายระดับโลก ที่สามารถควบคุมราคาสินค้าได้อย่างมาก การขาดการแข่งขันนี้สามารถนำไปสู่ราคาที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภค ปรากฏการณ์นี้บางครั้งเรียกว่า “เงินเฟ้อแพลตฟอร์ม” (Platform Inflation)
การเข้าใจผลกระทบของเงินเฟ้อรูปแบบใหม่ต่างๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับประชาชนและผู้กำหนดนโยบาย เนื่องจากในอนาคต แรงกดดันทางเงินเฟ้อเหล่านี้ต้องการการตอบสนองทางนโยบายที่ละเอียดซับซ้อนขึ้น และเป็นบทบาทที่กว้างกว่าบทบาทกระทรวงพาณิชย์และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การคุ้มครองผู้บริโภคและความยั่งยืน
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 26 มิถุนายน 2567