เศรษฐกิจเปราะบางสะเทือนแบงก์ทั้งระบบ
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 กำลังเผชิญวิกฤติอันใหญ่หลวงอยู่ในภาวะ "เปราะบาง" ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ไร้เสถียรภาพ บั่นทอนความมั่นใจของผู้ประกอบการในทุกกลุ่ม ประชาชนทุกระดับ ไม่เว้นแม้แต่ ธุรกิจธนาคาร "กำไร" ของธนาคารหลายแห่งหดตัวลงชัดเจนจากการปล่อยสินเชื่อที่ชะลอลงทั้งฝั่งรายใหญ่ รายย่อย และธุรกิจเอสเอ็มอี
ธนาคารคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพราะกลัวว่าจะเกิดหนี้เสีย ท่ามกลางค่าครองชีพที่สูงขึ้นเรื่อยๆ คนไทยยังต้องปากกัดตีนถีบ ความเชื่อมั่นถูกกดทับจากความไม่แน่นอนรอบด้าน
สิ่งที่เกิดขึ้นในภาคธนาคารจึงเป็น “กระจกสะท้อน” โครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่กำลังวิกฤติลงทุกขณะ ธุรกิจจำนวนมากยังพึ่งพาตลาดภายในเป็นหลัก ในขณะที่ตลาดส่งออกซบเซา ภาคครัวเรือนเผชิญหนี้สูง รายได้แท้จริงไม่เพิ่ม และต้นทุนการดำเนินธุรกิจยังถีบตัวสูงจากราคาพลังงาน แรงงาน ดอกเบี้ย ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ แบงก์ย่อมต้องรัดเข็มขัดการปล่อยกู้ ขณะที่ภาคธุรกิจเองก็เลือก “อยู่เฉย” ประมาณ Wait & see แทนที่จะเร่งลงทุน
ในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยต้องการ “ความชัดเจนเชิงนโยบาย” เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของภาคเอกชน ปรากฏว่า “ความไม่แน่นอนด้านการค้าระหว่างประเทศ” กลับยิ่งซ้ำเติมแรงกดดัน หนึ่งในนั้นคือปม “ภาษีทรัมป์” ที่รัฐบาลสหรัฐเตรียมรีดภาษีนำเข้าสินค้าจากบางประเทศ หากไทยยังไม่สามารถเจรจาดีลนี้ได้สำเร็จ หรือสุดท้ายไทยอาจต้องเสียภาษีสูงกว่าคู่แข่งในอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกหลัก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ หรือสินค้าเกษตรแปรรูป
ความไม่ชัดเจนนี้ ส่งผลให้ภาคธุรกิจจำนวนมาก “ชะลอการตัดสินใจลงทุน” เพราะไม่แน่ใจว่าความสามารถในการแข่งขันจะอยู่ในระดับใดในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า นักลงทุนต่างชาติเอง ก็เลือกกระจายพอร์ตออกจากไทย ไปสู่ประเทศที่มีข้อตกลงทางการค้าชัดเจนกว่า ผู้ประกอบการแสดงความหวั่นวิตกอย่างชัดเจน หาก ‘ทรัมป์’ ขึ้นภาษีในอัตราที่สูง จะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและการผลิต โดยเฉพาะในภาคอิเล็กทรอนิกส์ ที่ก่อนหน้านี้ออกมาแสดงความหวั่นใจ อาจได้เห็นการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่อัตราภาษีต่ำกว่า
สถานการณ์ที่ยืดเยื้อและขาดความชัดเจน อาจทำให้การลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมย้ายไปประเทศอื่น กระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว 5-10 ปีข้างหน้า ปรากฏการณ์นี้เมื่อรวมเข้ากับปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน ยิ่งตอกย้ำว่าเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในภาวะ ‘โคตรวิกฤติซ้ำซ้อน’ ท่ามกลางสัญญาณเตือนรอบด้านขณะนี้ รัฐบาลต้องเดินหน้า “ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ”อย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน ต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่นภาคการเงิน การลงทุน ส่งสัญญาณนโยบายที่ชัดเจน โปร่งใส ไม่เช่นนั้น ‘งบดุลของธนาคาร’ วันนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนเบื้องต้น ก่อนที่คลื่นมหาวิกฤติเศรษฐกิจลูกใหญ่จะถาโถมประเทศอย่างไม่ทันตั้งตัว
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 22 กรกฏาคม 2568