โอกาสท่ามกลางพายุเศรษฐกิจ : ท่ามกลางความปั่นป่วนจากอัตราภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์
ท่ามกลางความปั่นป่วนจากอัตราภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้เขียนเห็นด้วยกับนักเศรษฐศาสตร์หลายท่านที่กล่าวว่าเราควรใช้วิกฤตินี้เป็นโอกาส
หลายสิ่งหลายอย่างที่ประเทศไทยควรทำมาตั้งนานแล้ว แต่ยังขับเคลื่อนไม่ได้ มาวันนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ส่งแรงกระเพื่อมให้เราต้องลุกขึ้นมาทบทวนเรื่องสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถปรับตัว พลิกฟื้น และก้าวไปต่อได้อย่างมั่นคง
จากข้อเรียกร้องต่างๆ ของสหรัฐและข้อเสนอที่ประเทศไทยเสนอไปนั้น เราได้เห็นประเด็นสำคัญๆ
ซึ่งรวมถึงการเรียกร้องให้มีการเปิดเสรีสำหรับสินค้าในภาคการเกษตรหลายประเภท การลดอัตราภาษีนำเข้า และการขจัดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี รวมถึงการป้องกันสินค้าสวมสิทธิส่งออกไปยังสหรัฐ (ซึ่งกรณีหลังนี้ มี ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ออกมาให้ข่าวว่าไม่มีปัญหาเพราะไทยไม่ใคร่จะมีสินค้าสวมสิทธิเท่าใดนัก) การตอบสนองต่อข้อเรียกร้องเหล่านี้ แน่นอนว่าย่อมกระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการในประเทศ รวมไปถึงการลงทุนของนักธุรกิจต่างประเทศในไทย
ซึ่งในระยะสั้น การเยียวยาภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แต่ในขณะเดียวกัน ไทยก็ควรใช้โอกาสนี้ในการจัดการกับเรื่องสำคัญ คือ ‘ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ และขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ’ ด้วย
ศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจไทยลดน้อยถอยลงในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่าน รายงานของ IMF เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ของปีนี้ ระบุว่า ก่อนหน้าการแพร่ระบาดของโควิด 19 ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 3% ต่อปี แต่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ2.7%
แต่ไม่ว่าจะเป็นผลการศึกษาของสำนักใด ต่างพบว่าหนทางเดียวที่ประเทศไทยจะเพิ่มศักยภาพในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้ คือต้องเกิดการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ซึ่งประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลักๆ โดยส่วนแรกคือการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและเสริมสร้างผลิตภาพทางเศรษฐกิจ (productivity) และส่วนที่สองคือการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เพื่อเพิ่มทักษะแรงงานและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม
รายงานของ OECD เรื่อง ‘Strengthening Productivity Analysis for Policy Making in Thailand’ ที่เผยแพร่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบว่า productivity ของไทยเติบโตในอัตราที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ผลิตภาพรวมของแรงงานหดตัวในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 ในขณะที่ผลิตภาพแรงงานของเวียดนาม อินโดนีเซีย และกลุ่มประเทศ OECD ยังคงเติบโตในช่วงเวลาเดียวกัน
สาเหตุของการเติบโตที่ช้าลงของ productivity แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่ในส่วนของประเทศไทยนั้น สาเหตุสำคัญเกิดจากการที่มีบริษัทขนาดใหญ่ที่มีอำนาจเหนือตลาดสูงและลึก เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันและการพัฒนาธุรกิจ มาตรการกีดกันทางกฎหมายกฎระเบียบในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ
ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลกในสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการรับมือกับสภาพภูมิอากาศและสังคมสูงวัย ที่จะส่งผลอย่างมากต่อผลิตภาพภาคการเกษตรอีกด้วย รายงานของ OECD ได้ทำข้อเสนอแนะอย่างละเอียดเกี่ยวกับกลไกการทำงาน ข้อมูลที่จำเป็น แนวทางการวิเคราะห์ รวมถึงตัวอย่างการจัดทำนโยบายด้าน productivity
ในส่วนของการการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อเพิ่มทักษะแรงงานและส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมนั้น รายงานการประเมินประเทศไทยล่าสุดของ OECD เรื่อง Skills Strategy ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อกลางเดือนก.ค.นี้ เน้นย้ำถึงความสำคัญของนโยบายการยกระดับทักษะของแรงงานต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และยังพบว่ามีข้อเท็จจริงที่น่าสนใจอีกหลายประการ เช่น ประเทศไทยมีผู้เข้าเรียนในสายอาชีวศึกษาสูงที่สุดในอาเซียน
โดย14% ของนักเรียนระดับมัธยมปลายเลือกเรียนในสายอาชีวศึกษา สูงกว่าค่าเฉลี่ย8% ของอาเซียน นอกจากนี้ ยังพบว่าประเทศไทยมีสัดส่วนของประชากรที่จบปริญญาโทค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน (ไทย 2% เวียดนามและอินโดนีเซีย0.7% และมาเลเซีย 1.6%) ตัวเลขเหล่านี้ดูเหมือนจะสะท้อนว่าแรงงานไทยมีทักษะที่สูง
แต่ถ้าหากยังจำกันได้ ผู้เขียนเคยนำเสนอข้อมูลผลการสำรวจของธนาคารโลกในโครงการ Adult Skills Assessment ที่พบว่า 64.7% ของเยาวชนและประชากรวัยแรงงานของไทยมีทักษะการรู้หนังสือต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งหมายถึงการไม่สามารถอ่านและทำความเข้าใจข้อความสั้นๆ เพื่อแก้ปัญหาขั้นพื้นฐานได้ และ74.1% แสดงทักษะด้านดิจิทัลต่ำกว่าเกณฑ์คือไม่สามารถทำงานพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูลออนไลน์เพื่อแก้ปัญหา
จากตัวเลขที่ย้อนแย้งเหล่านี้ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับคุณภาพและความเหมาะสมของระบบการศึกษาของประเทศ รายงานฯ ยังพบว่า ถึงแม้ประเทศไทยจะมีอัตราการว่างงานที่ต่ำมาก แต่พบความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์กับอุปทานของทักษะ โดยทักษะที่ขาดแคลนมาก ได้แก่ ทักษะด้านกระบวนการผลิตและเทคโนโลยี ด้านธุรกิจ และด้านการสื่อสาร นอกจากนี้ ในขณะที่มีความขาดแคลนแรงงานที่มีความรู้และทักษะวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) แต่กลับพบว่า 34% ของแรงงานไทยที่มีการศึกษาสูงกลับทำงานที่ใช้ทักษะต่ำกว่าวุฒิการศึกษา เมื่อเทียบกับ16.5% ในกลุ่มประเทศ OECD ทั้งนี้รายงานฯ ดังกล่าวก็ได้ให้ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงทักษะไว้ด้วยอย่างครอบคลุม
ถึงแม้ว่าเราจะต้องเผชิญกับพายุเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากกรณีภาษีตอบโต้ของสหรัฐนับแต่ปีนี้เป็นต้นไป โดยยังไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อใด แต่หากเราสามารถหยิบเอาโอกาสขึ้นมาจากวิกฤตินี้ ประกอบกับการใช้ประโยชน์จากการที่ไทยสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD แล้วลุกขึ้นมาดำเนินการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างจริงจังและจริงใจ มั่นใจได้ว่าประเทศไทยจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและเข้มแข็งได้หลังจากนี้ต่อไป
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 24 กรกฏาคม 2568