"หลุมดำ" ของจริง การเมืองไร้ทิศทาง เศรษฐกิจไร้พลัง
KEY POINTS
* ความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการที่นายกรัฐมนตรีถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และทำให้รัฐบาลขาดทิศทางในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ
* ข้อพิพาทที่ยืดเยื้อกับกัมพูชาเป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุนตามแนวชายแดน ทำให้ไทยเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ และเปิดทางให้ประเทศอื่นในอาเซียนได้เปรียบ
* การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ มีความเสี่ยงสูง โดยไทยอาจต้องลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรที่กระทบเกษตรกรไทย เพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากไม่สำเร็จ อาจทำให้ไทยสูญเสียตลาดส่งออกและความน่าสนใจในการลงทุน
ประเทศไทยกำลังดำดิ่งสู่ภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ลึกและซับซ้อนกว่าที่หลายคนตระหนัก :
ไม่ใช่เพียงเพราะภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ หรือ การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจที่ฉุดรั้งการค้าโลก แต่เป็นเพราะปัจจัยภายในประเทศเอง ที่กลายเป็นต้นตอของวิกฤต
การเมืองไทยในขณะนี้ไร้ทิศทางอย่างชัดเจน :
คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ แม้จะเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย แต่ผลสะเทือนทางเศรษฐกิจ กลับเป็นเหมือนเรือที่ขาดหางเสือ แม้รัฐนาวาจะยังวิ่งต่อได้ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าฝั่งอยู่ตรงไหน
ความไม่แน่นอนทางการเมือง กำลังลุกลามสู่ภาคเศรษฐกิจโดยตรง :
รัฐบาลชุดปัจจุบันขาดทิศทางนโยบายที่ชัดเจน ไม่สามารถผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างเป็นระบบ การตัดสินใจเชิงนโยบาย และการใช้งบประมาณไม่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ประชาชนระดับฐานรากต้องรับมือกับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น
ในเวลาเดียวกัน ประเทศไทยยังมีข้อพิพาทกับกัมพูชา ที่ยังยืดเยื้อเรื้อรัง ซึ่งไม่ได้แค่บั่นทอนความมั่นคงบริเวณชายแดน แต่ยังกลายเป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุน ตามแนวเขตแดน ที่ไทยควรจะเป็นประตูเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ความขัดแย้งที่ยังหาทางออกไม่ได้ ส่งผลให้ทั้งสองประเทศเสียโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน และเปิดพื้นที่ให้ประเทศอื่นในอาเซียนแย่งชิงความได้เปรียบจากเราไปเรื่อย ๆ
อีกด้านหนึ่งที่เป็นประเด็นใหญ่สุดในเวลานี้ คือ การเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ ในเรื่องภาษีตอบโต้ หรือ ภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ซึ่งมีเดิมพันสูงไม่ใช่แค่ในแง่การค้า แต่หมายถึงสมดุลความสัมพันธ์และอธิปไตยทางเศรษฐกิจที่เรากำลังเสี่ยงที่จะเสียไป
ภายใต้กรอบการเจรจาล่าสุด ไทยเสนอจะยกเว้น หรือ ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐถึง 90% ครอบคลุมสินค้านำเข้านับหมื่นรายการ แลกกับความหวังว่าจะได้รับอัตราภาษีที่เท่าเทียมกับประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย หรือ มาเลเซีย
แต่ข้อตกลงเช่นนี้ ก็อาจต้องแลกมาด้วย “ต้นทุน” ที่อาจกระทบลึกถึงเกษตรกรไทย
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะในบรรดาสินค้าที่ไทยจะต้องนำเข้าเพิ่ม มีทั้ง เนื้อหมู เนื้อวัว ข้าวโพด ถั่วเหลือง ข้าวบาร์เลย์ ซึ่งบางส่วนชนกับสินค้าเกษตรไทย และจะส่งผลกระทบกับเกษตรกรไทยโดยตรง เพื่อแลกกับต้นทุนภาษีสินค้าไทยเข้าสหรัฐไม่เสียเปรียบคู่แข่งขัน นอกจากนี้ ไทยอาจต้องนำเข้า ก๊าซ LNG เครื่องบินโบอิ้ง และสินค้าอื่น ๆ ของสหรัฐเพิ่ม เพื่อทำให้ดุลการค้าไทย-สหรัฐสมดุลกันภายใน 5 ปี
ทั้งนี้หากไทยไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีที่เทียบเท่าประเทศคู่แข่ง ไทยจะเสียทั้งตลาดส่งออกสหรัฐ และความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ ทุนต่างชาติจะไหลไปยังประเทศที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีมากกว่า เพราะในโลกของเศรษฐกิจเสรี ไม่มีใครยึดมั่นกับประเทศใดประเทศหนึ่ง หากต้นทุนและความเสี่ยงไม่คุ้มค่า
นี่คือภาวะ “ตกหลุมดำทางเศรษฐกิจ” ที่ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากความล้มเหลวของการวางยุทธศาสตร์ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และปกป้องผลประโยชน์ของชาติในทุกมิติ ซึ่งถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกภาคส่วนจะต้อง “ตื่น” และร่วมกันเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ก่อนที่ประเทศไทยจะจมลึกลงไปในหลุมดำนี้จนไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้อีก
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 24-26 กรกฏาคม 2568