เศรษฐกิจโลกในยุคหลังภาษีทรัมป์
อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐจะประกาศใช้กับประเทศต่างๆเริ่มวันที่ 7 สิงหาคมจะเปลี่ยนระเบียบการค้าโลกไปจากเดิม จากการค้าเสรีที่มีกฎเกณฑ์ไปสู่การค้าโลกที่ไร้ระเบียบและมีการกีดกันทางการค้ามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการค้าของสหรัฐเฉพาะสินค้าในการค้าโลกมีเพียงร้อยละ 9 ที่เหลือ คือ การค้าระหว่างกันของประเทศอื่นๆทั่วโลกที่คงดำเนินต่อไปแบบเดิม
วันนี้จะวิเคราะห์ว่าระบบการค้าที่ซ้อนกันเช่นนี้ คือ ค้าขายกับสหรัฐแบบหนึ่งกับค้าขายระหว่างกันของประเทศอื่นๆอีกแบบหนึ่ง จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลก นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
หลังรอมากว่า 4 เดือนอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐจะใช้กับประเทศต่างๆ ก็ชัดเจน แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มแรก :
ประมาณ 30 กว่าประเทศที่ส่วนใหญ่ได้เจรจากับสหรัฐ เพื่อลดอัตราภาษีหลังสหรัฐประกาศอัตราภาษีตอบโต้ครั้งแรกเดือนเมษายน ซึ่งประเทศไทยอยู่ในกลุ่มนี้ อัตราภาษีมีตั้งแต่ 40% ถึง 10% ไทยเสียภาษีอัตรา19% เท่ากับมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชา ส่วนเวียดนาม 20% และเงื่อนไขสำคัญสำหรับประเทศในกลุ่มนี้ที่เจรจากับสหรัฐ คือเปิดเสรีสินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตราภาษี 0%
กลุ่มสอง :
ประเทศที่เจรจายากและยังไม่จบด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจและการเมือง เช่น จีน เม็กซิโก แคนาดา และประเทศในกลุ่ม BRICS ที่อัตราภาษีค่อนข้างสูง เช่น บราซิล 50% อินเดีย 25% และแอฟริกาใต้ 30%
กลุ่มสาม :
ส่วนที่เหลือที่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้เจรจา เช่น สวิตเซอร์แลนด์ ได้ภาษีอัตราร้อยละ 39 ไต้หวันร้อยละ 20 ส่วนประเทศอื่นๆไม่มีรายละเอียดว่าอัตราภาษีเป็นเท่าไรแต่น่าจะอยู่ระหว่าง 15-20%
นี่คือโลกใหม่ของสหรัฐที่ตั้งกำแพงภาษีสูงกับทุกประเทศทั่วโลก สำนักวิจัยมหาวิทยาลัยเยลในสหรัฐคำนวณว่า อัตราภาษีใหม่ตามที่สหรัฐประกาศจะทำให้อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐเฉลี่ยอยู่ที่ 18% เทียบกับ 2.4% ปีที่แล้ว สหรัฐจึงเป็นประเทศเดียวที่ตั้งกำแพงภาษีสูงขณะที่ประเทศอื่นๆ ค้าขายกันด้วยอัตราภาษีที่ต่ำกว่า ในทางเศรษฐศาสตร์ การค้าที่อัตราภาษีต่ำจะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจได้มากกว่าการค้าที่อัตราภาษีสูง
สำหรับสหรัฐ อัตราภาษีนำเข้าที่สูงจะมีผลอย่างสำคัญต่อการผลิตในประเทศ เพราะราคาสินค้าขั้นกลางและราคาวัตถุดิบจะแพงขึ้นจากผลของภาษี ถือเป็นช็อกด้านอุปทานหรือ Supply shock ต่อระบบเศรษฐกิจ การผลิตในประเทศจะลดลงขณะที่ราคาสินค้าในประเทศจะสูงขึ้น ผลคือเศรษฐกิจจะชะลอและอัตราเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้น
ในการแถลงข่าวผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดสัปดาห์ที่แล้ว ประธานเฟดยอมรับว่าแม้เศรษฐกิจสหรัฐดูเข้มแข็ง ขยายตัว 3% ในไตรมาสสอง แต่โมเมนตั้มการขยายตัวเริ่มอ่อนลง จากการใช้จ่ายในประเทศรวมถึงการลงทุนที่ชะลอ ที่เป็นผลจากความไม่ชัดเจนเรื่องภาษี การว่างงานอยู่ที่ 4.2% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเป้า 2% และล่าสุดอยู่ที่ 2.7% เดือนมิถุนายน เพิ่มจาก 2.4% เดือนพฤษภาคม
ที่สำคัญ อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ของภาคธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น นี่คือเหตุผลที่ทำให้เฟดไม่ลดอัตราดอกเบี้ยคราวนี้ เพราะต้องการรอให้ผลกระทบของภาษีต่อเศรษฐกิจมีความชัดเจนมากกว่านี้
อัตราเงินเฟ้อสหรัฐคงเร่งตัวมากขึ้นจากนี้ไปเมื่ออัตราภาษีใหม่เริ่มมีผล ที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐได้ประโยชน์จากการเร่งนำเข้าสินค้าในช่วงก่อนหน้าในอัตราภาษีเดิม รวมทั้งผู้ประกอบการสหรัฐก็ชะลอการปรับราคาขึ้นเพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภค แต่ตัวช่วยเหล่านี้ในระยะต่อไปคงเริ่มหมดลงทำให้ต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้นและเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอมากขึ้น พร้อมอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ยืนในระดับสูง ความเสี่ยงคือ เศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะ Stagflation ที่เศรษฐกิจจะชะลอพร้อมอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งเป็นปัญหาที่แก้ยาก
สำหรับประเทศอื่นๆ การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐทำให้รายได้จากการส่งออกลดลง เป็น Demand shock ที่จะทำให้เศรษฐกิจชะลอและแรงกดดันเงินเฟ้อลดลง นโยบายคงเน้นการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดังนั้น เศรษฐกิจโลกจะชะลอจากผลของภาษี ส่วนอัตราเงินเฟ้อจะเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากกว่าประเทศอื่นๆ
ระเบียบการค้าโลกดังกล่าวจะทำให้ทุกประเทศนอกสหรัฐต้องปรับตัวเพื่อรักษาโมเมนตั้มของการส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งการปรับตัวจะเกิดขึ้นใน 5 ด้าน
(1)ปรับระบบการผลิตเพื่อลดต้นทุนสินค้าที่ส่งไปขายในสหรัฐเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ต่อไป
(2)ขยายการส่งออกไปตลาดอื่นรักษาสัดส่วนตลาดส่งออกและเข้าร่วมเวทีหรือกลุ่มการค้าระหว่างประเทศให้มากที่สุด เช่น CPTPP รวมถึงขยายเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ เพื่อเปิดตลาดการค้า
(3)เปิดเสรีให้ประเทศอื่นๆ สามารถส่งสินค้าประเภทเดียวกันกับที่สหรัฐส่งมาขายในอัตราภาษีศูนย์โดยคิดอัตราภาษีศูนย์เช่นกัน เพื่อให้เกิดการแข่งขันซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในประเทศ
(4)ยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อเปิดเสรีตลาดภายในประเทศให้มีการแข่งขัน
(5)ปฏิรูประบบเศรษฐกิจเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ รวมทั้งปฏิรูประบบราชการและยกระดับทักษะและคุณภาพแรงงานเพื่อให้ประเทศพร้อมเป็นศูนย์หรือห่วงโซ่การผลิตของโลกหรือภูมิภาค สนับสนุนด้วยภาคธุรกิจที่ปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ทั้งหมดจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ
ประเทศในโลกส่วนใหญ่คงปรับตัวใน 5 แนวทางนี้ในยุคหลังภาษีทรัมป์เพื่อให้เศรษฐกิจอยู่รอด ประเทศเราก็ต้องทำเช่นกัน ที่สำคัญพลังจากการเปิดเสรีและจากการค้าระหว่างประเทศนอกสหรัฐในอัตราภาษีที่ต่ำกว่าจะทำให้เศรษฐกิจนอกสหรัฐเติบโตได้ดีในระยะยาวเพราะประโยชน์ที่มาจากการค้าเสรี
ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐจะสูญเสียสัดส่วนการค้าในตลาดโลก เพราะต้นทุนสูงแข่งขันไม่ได้ เศรษฐกิจจะถดถอยและต้องยกเลิกกำแพงภาษีไปในที่สุด นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ดังนั้น สำหรับประเทศไทย โจทย์ที่รออยู่คือการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อให้อยู่รอดที่ต้องทำโดยเร็วและจริงจัง
ที่มา กรุงเทพธุุรกิจ
วันที่ 4 สิงหาคม 2568