เศรษฐกิจโลกหลังภาษีทรัมป์ ภาคสอง
ความวุ่นวายในโลกและเศรษฐกิจโลกขณะนี้มีมากจริงๆ สัปดาห์ที่แล้วรายการ Money Chat ขอสัมภาษณ์ผมเรื่องเศรษฐกิจโลกใน 2 ประเด็น
1)การเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐครั้งนี้แตกต่างกับสงครามการค้าตอนทรัมป์สมัยแรกอย่างไร
2)การจัดระเบียบการค้าโลกใหม่ของสหรัฐครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจโลก
วันนี้จึงขอแชร์ความเห็นผมในสองเรื่องนี้ให้แฟนคอลัมน์ “เศรษฐศาสตร์บัณฑิต” ทราบ นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
การขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์รอบนี้ต่างกับที่ทำสมัยทรัมป์ 1.0 อย่างสิ้นเชิง ทั้งอัตรา ขอบเขต ความเข้มข้นและการใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือทางการเมือง สมัยทรัมป์ 1.0 เริ่มปี 2559 การขึ้นภาษีจะปฏิบัติกับเฉพาะบางประเทศ เช่น จีน กลุ่มอียู และประเทศเพื่อนบ้าน คือ แคนาดาและเม็กซิโก แต่ที่หนักสุดคือจีน และมีสินค้าที่ถูกจัดเก็บภาษีเป็นพิเศษ เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม
ในคราวแรกประเทศที่ถูกขึ้นภาษีก็ตอบโต้โดยขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐเช่นกัน ส่วนหนึ่งเพราะการขึ้นภาษีของทรัมป์สมัยแรกดูสะเปะสะปะ ไปตามสถานการณ์ เหมือนไม่มีแผนหรือการเตรียมการอย่างจริงจังมาก่อน แต่ในทรัมป์รอบสอง การขึ้นภาษีเข้มข้น มุ่งมั่น และมีเป้าหมายชัดเจนที่จะใช้ภาษีเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาทั้งการขาดดุลการค้า การขาดดุลการคลัง รื้อฟื้นภาคอุตสาหกรรมสหรัฐ รวมถึงแผ่อิทธิพลสหรัฐในระบบเศรษฐกิจการเมืองโลก
ที่สำคัญมีการเตรียมตัวและดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน เราจึงเห็นสหรัฐประกาศขึ้นภาษีกับทุกประเทศ อัตราภาษีเจรจาได้แต่ขอบเขตการเจรจาไม่จำกัดอยู่เฉพาะภาษี แต่รวมไปถึงการเปิดตลาดให้กับสินค้าสหรัฐ ลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ประเทศใช้ สัญญาจะไปลงทุนผลิตสินค้าในสหรัฐ และมีการนำประเด็นการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์มาเป็นเงื่อนไขกำหนดอัตราภาษีด้วย เช่น กรณีบราซิลและอินเดียล่าสุด ทั้งหมดแสดงถึงการใช้ภาษีการค้าเป็นเครื่องมือทั้งในทางเศรษฐกิจและในการขยายอิทธิพลของสหรัฐในเวทีการเมืองโลก
อีกประเด็นคือ การขึ้นภาษีสมัยทรัมป์ 1.0 เหมือนประธานาธิบดีทรัมป์ทำอยู่คนเดียว ไม่มีเป้าและแผนงานชัดเจน ผลที่ออกมาจึงไม่หนักแน่น แต่คราวนี้ไม่ใช่ ทรัมป์มีเป้าประสงค์และแผนงานชัดเจนที่จะใช้ภาษีการค้าเป็นเครื่องมือทั้งแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่สหรัฐมี สกัดการเติบโตของจีน และหาประโยชน์จากประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ ที่สำคัญ คราวนี้ทรัมป์มาพร้อมทีมงานที่มีความรู้ที่เห็นด้วยกับสิ่งที่ทรัมป์ทำและพร้อมสนับสนุน
ทีมงานเหล่านี้ก็เช่น สก๊อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง ฮาวเวิร์ค ลุทนิค รัฐมนตรีพาณิชย์ ปีเตอร์ นาวาร์โร หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ทำเนียบขาว เควิน ฮาสเซตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติสหรัฐ เจมี่สัน กรีเอิร์น ผู้แทนการค้า และสตีเฟน มิแรน ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ นี่คือบุคคลระดับมันสมองที่อาจทำให้นโยบายภาษีของทรัมป์ประสบความสำเร็จได้เเม้ไม่เป็นที่ยอมรับ
ในแง่ผลกระทบ การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐจะเปลี่ยนระเบียบการค้าโลกจากการค้าเสรีที่มีกฎเกณฑ์ไปสู่การค้าที่ไร้ระเบียบและมีการกีดกันทางการค้ามากขึ้น นี่คือโลกใหม่ที่การค้าโลกจะมีสองระบบซ้อนกัน คือ ค้าขายกับสหรัฐแบบหนึ่งกับค้าขายระหว่างกันของประเทศอื่นๆ อีกแบบหนึ่ง
การค้าขายกับสหรัฐจะมีกำแพงภาษีนำเข้าที่สูงแต่สัดส่วนจะมีเพียงร้อยละ 9 ของการค้าโลก ซึ่งก็คือสัดส่วนการค้าสินค้าของสหรัฐในการค้าโลกปัจจุบัน ส่วนที่เหลือคือ การค้าระหว่างกันของประเทศอื่นๆทั่วโลกที่คงดำเนินต่อไปในอัตราภาษีที่ต่ำกว่า ในทางเศรษฐศาสตร์ การค้าที่อัตราภาษีต่ำจะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจได้มากกว่าการค้าที่อัตราภาษีสูง นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ดังนั้น จากนี้ไปทุกประเทศคงปรับตัวกับระเบียบใหม่ของการค้าโลก เพื่อรักษาโมเมนตั้มของการส่งออกและการเติบโตของเศรษฐกิจ พลวัตของการปรับตัวจะทำให้การค้าโลกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหรือ 3 เวทีการค้าใหญ่ๆ ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกัน
กลุ่มแรก :
คือ การค้ากับสหรัฐที่จะไปตามอัตราภาษีและเงื่อนไขที่สหรัฐกำหนดสำหรับแต่ละประเทศ มีการคํานวณว่าอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐหลังทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 18 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.4 ก่อนมีมาตรการภาษี ทำให้ประเทศที่ส่งสินค้าไปสหรัฐจะต้องปรับตัวมากเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐภายใต้อัตราภาษีที่สูงขึ้น
การปรับตัวที่สำคัญคือ ลดต้นทุนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีมากขึ้นเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน การปรับตัวจะทำให้ประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐต้องเพิ่มผลิตภาพการผลิตซึ่งจะดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาว ส่วนข้อจำกัดหลักของการค้าในกลุ่มนี้คือ ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐที่สามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ทำให้ความไม่แน่นอนจะมีมาก ลดแรงจูงใจที่จะลงทุนในสหรัฐเพื่อสร้างฐานการผลิต
กลุ่มที่สอง :
คือกลุ่มประเทศนอกสหรัฐที่จะค้าขายระหว่างกันเหมือนเดิมภายใต้ระบบการค้าเสรีที่มีกฎเกณฑ์ โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานระบบการค้าโลกที่มีอยู่ เช่น องค์กรการค้าโลก การชำระเงินผ่านระบบ Swift ใช้สกุลเงินดอลลาร์ ยูโร และเยน เป็นสื่อกลาง ประเทศที่จะมีบทบาทนำในกลุ่มนี้ก็เช่น กลุ่มอียู สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่
ประเทศในกลุ่มนี้จะทดแทนการค้ากับตลาดสหรัฐที่หายไป โดยขยายการค้าระหว่างกันมากขึ้น รวมทั้งผ่านการเข้าร่วมกลุ่มการค้าระหว่างประเทศที่มีอยู่เช่น CPTPP และการขยายเขตการค้าเสรีระหว่างกันทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค เช่น ยุโรป-อาเซียน ผลคือการค้าในกลุ่มนี้จะขยายตัวมากเพราะเสรีกว่าและอัตราภาษีต่ำกว่า ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มนี้
กลุ่มสาม :
คือ กลุ่ม BRICS Plus นำโดย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และ แอฟริกาใต้ ปัจจุบันมีสมาชิก 11 ประเทศ และสมาชิกสมทบหรือPartners อีก 10 ประเทศ พลังทางเศรษฐกิจของกลุ่มนี้มีมากทั้งทรัพยากรธรรมชาติ ประชากร และขนาดของเศรษฐกิจที่รวมกันแล้วมากกว่า 40% ของจีดีพีโลก
การค้าในกลุ่มนี้จะคล้ายกลุ่มสองคือตามกลไกตลาดในอัตราภาษีที่ต่ำกว่า แต่นํ้าหนักจะมุ่งไปที่การพัฒนาและใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานทางการค้าที่เป็นทางเลือกเพื่อลดอิทธิพลของสหรัฐในการค้าโลก เช่น บทบาทเงินดอลลาร์สหรัฐและระบบชำระเงินที่ใช้เงินดอลลาร์ มีองค์กรระหว่างประเทศที่เป็นทางเลือกทดแทนหรือเสริมบทบาทของไอเอ็มเอฟและธนาคารโลก
รวมถึงพัฒนาตลาดการเงินเพื่อรองรับการขยายตัวการใช้สกุลเงินของประเทศในกลุ่ม เช่น จีน ในการค้าระหว่างประเทศ เช่นพัฒนาตลาดอนุพันธ์เพื่อการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนหรือ hedging เป็นต้น การค้าในกลุ่มนี้มีแนวโน้มขยายตัวเพราะเน้นสินค้าพื้นฐานที่จำเป็น เช่น พลังงาน อาหาร วัตถุดิบ และสินค้าโภคภัณฑ์ และการค้ากลุ่มนี้เปิดกว้างกับทุกประเทศ
นี่คือทิศทางที่การค้าโลกจะเดินต่อหลังภาษีทรัมป์ อย่างน้อยในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า ที่การค้าโลกจะเป็นสองระบบซ้อนกันใน 3 รูปแบบ ประเทศไทยจะต้องปรับตัว ต้องค้าขายกับทั้ง 3 กลุ่มและต้องค้าขายให้ได้ หมายถึงเศรษฐกิจและภาคธุรกิจต้องปรับตัว ต้องปฏิรูปเพื่อให้เศรษฐกิจใช้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นโอกาส สามารถแข่งขันได้ และประเทศอยู่รอดได้ในโลกที่ทุกอย่างจะยากมากขึ้นๆ
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 11 สิงหาคม 2568