ผลกระทบภาษีทรัมป์ต่อสหรัฐอเมริกา
หลังจากที่สหรัฐประกาศอัตราภาษีศุลกากรกับหลายสิบประเทศในโลกไปแล้วในวันที่ 1 สิงหาคม และอัตราภาษีดังกล่าวได้ถูกบังคับใช้ไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม
โดยเฉลี่ยภาษีศุลกากรที่สหรัฐเก็บจากการนำเข้าสินค้าอยู่ที่ 15-20% ซึ่งทำให้หลายฝ่ายมองว่า อย่างน้อยก็มีความชัดเจนมากขึ้น และต่ำกว่าอัตราภาษีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เคยข่มขู่ประเทศคู่ค้าเอาไว้ก่อนหน้านี้
สำหรับผลกระทบนั้น รัฐบาลสหรัฐมองว่า ฝ่ายตนมีแต่ได้กับได้ เพราะอัตราภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นประมาณ 9 เท่าตัวนั้น หากนำไปคำนวณกับปริมาณการนำเข้าสินค้าของสหรัฐมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านเหรียญต่อปี ก็แปลว่า รัฐบาลสหรัฐน่าจะมีรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นมากกว่า 350,000 ล้านเหรียญต่อปี
นอกจากนั้น รัฐบาลสหรัฐมั่นใจว่าผู้ที่จ่ายภาษีดังกล่าวคือ บริษัทต่างชาติที่ขายสินค้าให้สหรัฐ ซึ่งจะต้องยอมลดราคาสินค้าเท่ากับภาษีที่ถูกเก็บ แต่การส่งออกไปสหรัฐนั้นมีการแข่งขันสูง ดังนั้น สัดส่วนกำไรน่าจะไม่เกิน 5-10% โดยเฉลี่ย จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าประเทศคู่ค้าจะไม่สามารถส่งออกสินค้าไปที่ตลาดสหรัฐในปริมาณและราคาเท่าเดิมได้ในระยะยาว
รัฐบาลสหรัฐบอกว่าอีก "ทางเลือก” หนึ่งคือ ประเทศคู่ค้าต้องไปลงทุนเพื่อผลิตสินค้าในสหรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำจริงได้ยากมาก เพราะต้นทุนการผลิตสูงและแรงงานก็มีไม่เพียงพอ เห็นได้จากการที่อัตราการว่างงานที่สหรัฐอยู่ที่ระดับต่ำคือ ประมาณ 4% และรัฐบาลสหรัฐก็มีนโยบายเข้มข้นในการขับไล่คนที่เข้ามาทำงานในสหรัฐอย่างผิดกฎหมาย
หากผู้ผลิตไม่สามารถจ่ายภาษีดังกล่าวได้ทั้งหมด ภาระก็จะต้องตกอยู่กับผู้นำเข้าที่สหรัฐและผู้บริโภคของสหรัฐ ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า ไม่ได้เห็นการส่งผ่านภาษีดังกล่าว โดยการปรับขึ้นราคาสินค้าในสหรัฐมากมายนัก (อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐยังสูงกว่าเกณฑ์ แต่ก็ไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้น) ซึ่งคำอธิบายตรงนี้อาจมีอยู่ 3 ประการคือ
1)ได้มีการรีบเร่งนำเข้าสินค้าเพื่อหลบภาษีดังกล่าวในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เห็นได้จากการที่การส่งออกของไทยไปสหรัฐขยายตัวสูงถึง 15% ในช่วงเวลาดังกล่าว (แต่ในเครื่องหลังการส่งออกคงจะต้องหดตัวประมาณ 5-10%)
2)บริษัทของสหรัฐที่มีกำไรสูงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา สามารถรับภาระราคาสินค้า/ชิ้นส่วนที่เพิ่มขึ้นได้ในระดับหนึ่งในช่วงแรก
3)ผู้ส่งออกรับภาระไปส่วนหนึ่งในระยะสั้นที่ยังมีคำสั่งซื้อคั่งค้าง และยังต้องใช้เวลาปรับตัวและแสวงหาตลาดใหม่มาทดแทนตลาดสหรัฐ
ผมเชื่อว่า ผลกระทบของภาษีทรัมป์จะเห็นชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ (ช่วงที่จะต้องสั่งสินค้าเข้ามาขายในช่วงเทศกาลปลายปี เช่น Thanks Giving และ Christmas) และผู้บริโภคสหรัฐจะเป็นผู้ที่ต้องรับภาระส่วนใหญ่ในการจ่ายภาษีทรัมป์
การที่บริษัทสหรัฐจะหันมาลงทุนเพิ่มการผลิตในสหรัฐเพื่อทดแทนการนำเข้านั้น ผมคิดว่าจะเกิดขึ้นน้อยมากและต้องใช้เวลานาน 3-4 ปี นอกจากนั้น บริษัทต่างๆ จะยังไม่สามารถไว้ใจได้ว่านโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์จะปรับเปลี่ยนไปอีกในทิศทางใด จึงไม่น่าจะกล้าตัดสินใจลงทุนขยายฐานการผลิตในสหรัฐในขณะนี้
ข้อตกลงการค้าที่ได้ทำกับประเทศต่างๆ ก็มีความแตกต่างกันและย้อนแย้ง ตัวอย่างเช่น กรณีข้อตกลงกับญี่ปุ่นนั้นเก็บภาษีรถยนต์ญี่ปุ่นที่ส่งไปที่สหรัฐเท่ากับ 15% แต่ผู้ผลิตที่สหรัฐต้องจ่ายภาษีนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ที่ 25% และภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมกับเหล็กกล้านั้นสูงถึง 50% ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐไม่พอใจอย่างมาก
สำหรับการค้ากับจีนนั้น ปัจจุบันเก็บภาษีประมาณ 30-40% เป็นการชั่วคราว (ต่ออายุการ “สงบศึก” ดังกล่าวทุกๆ 3-6 เดือน) เพราะสหรัฐต้องพึ่งพาให้รัฐบาลจีนอนุมัติการส่งออกผลิตภัณฑ์แร่หายาก ซึ่งสหรัฐขาดแคลนอย่างมาก ความไม่แน่นอนและความขัดแย้งที่ยังมีอยู่สูงแปลว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนก็อาจจะปะทุขึ้นมาอีกเมื่อใดก็ได้
ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากนโยบายการค้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของประธานาธิบดีทรัมป์ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การจ้างงานนอกภาคการเกษตร (non-farm payroll) ของสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยมากในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (การจ้างงานใหม่ในเดือนพฤษภาคม มิถุนายน และกรกฎาคม เฉลี่ยเพียง 34,000 ตำแหน่งต่อเดือน) ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่พอใจอย่างมาก จึงได้ปลดหัวหน้าสำนักงานสถิติแรงงานที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลดังกล่าว
การกระทำดังกล่าวผมคิดว่า ยิ่งจะทำให้นักลงทุนและผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น และจะไม่ได้เป็นการกระตุ้นให้การลงทุนในสหรัฐเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
เศรษฐกิจสหรัฐในครึ่งหลังของปี 2569 อาจชะลอตัวลง เพราะนโยบายการค้าและการกำจัดแรงงานต่างด้าวในประเทศ แต่เศรษฐกิจสหรัฐอาจถูกกระตุ้นในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า จากการลดภาษีให้กับนิติบุคคลและคนรวยของรัฐบาลสหรัฐ (ราคาหุ้นจึงปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง)
แต่ในระยะกลางและระยะยาวนั้น การที่รัฐบาลสหรัฐจะขาดดุลงบประมาณสูงถึง 6% ของจีดีพีไปอีกนานนับ 10 ปี และมีหนี้สินสูงกว่า 100% ของจีดีพี จะทำให้ดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐขยับเพิ่มขึ้นในอีก 3-4 ปีข้างหน้า แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะสามารถลดดอกเบี้ยนโยบายที่เป็นดอกเบี้ยระยะสั้นลงได้ครับ
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 11 สิงหาคม 2568