วัดกำลังศึกภาษีสหรัฐยกใหม่ เวียดนามทิ้งไทยขาดลอย ไทยชนะแค่ 5 สินค้า
วัดกำลังส่งออกไทย-เวียดนามไปสหรัฐ หลังคิกออฟภาษีทรัมป์ยกใหม่ บิ๊กเอกชน-ผู้เชี่ยวชาญ ชี้เวียดนามยังนำไทยห่าง จากต้นทุนถูกกว่าเฉลี่ย 5-10% ชิงได้เปรียบ ภาษีสหรัฐเก็บแพงกว่า 1% ไม่มีผลทำให้ไทยได้เปรียบ เทียบ 24 สินค้าหลักแข่งเวียดนาม ไทยชนะแค่ 5 รายการ
ภาษีตอบโต้หรือภาษีการค้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐอเมริกาที่เรียกเก็บจากประเทศคู่ค้าทั่วโลก มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 (ตามเวลาในสหรัฐ) ซึ่งมีอัตราต่ำสุดถึงสูงสุดที่ 10-50%
ในส่วนของประเทศไทยได้รับอัตราภาษีอิงกลุ่มอาเซียนเท่ากับอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ที่อัตรา 19% ส่วนเวียดนามที่เป็น ประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐมากที่สุดในอาเซียน ได้อัตราภาษีที่ 20% ทั้งนี้ เวียดนามถือเป็นคู่แข่งอันดับหนึ่งของไทยในตลาดสหรัฐ แต่อีกมุมหนึ่ง เวียดนามถือเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทยในกลุ่มอาเซียน

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานอาวุโส หอการค้าไทย และนายกสมาคมมิตรภาพไทย-เวียดนาม เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ไทยและเวียดนามจะมีความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 50 ปีในปี 2569 โดยไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 1 หรือคู่ค้ารายใหญ่สุดของเวียดนามในอาเซียน
ขณะที่เวียดนามเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทยในอาเซียน (รองจากมาเลเซีย) มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน (ส่งออก+นำเข้า) มากกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 และมีเป้าหมายมูลค่าการค้าระหว่างกันในปี 2568 จำนวน 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยบริษัทไทยนิยมตั้งฐานการผลิตในเวียดนามเพื่อเจาะตลาดเวียดนามที่กำลังเติบโต ในด้านการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวเวียดนามนิยมมาเที่ยวเมืองไทยปีละไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน
ได้เปรียบต้นทุนต่ำกว่าไทย 5-10% ซ
อย่างไรก็ดี แม้เวียดนามจะเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย แต่อีกด้านหนึ่ง เวียดนามเป็นคู่แข่งสำคัญของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐ ซึ่งกรณีล่าสุด ไทย-เวียดนามได้บรรลุข้อตกลงเรื่องภาษีการค้า (Reciprocal Tariff) กับสหรัฐ โดยเวียดนามสามารถปิดดีลภาษีกับสหรัฐที่ 20% และไทยที่อัตรา 19% ซึ่งแตกต่างกัน 1% ซึ่งตรงนี้มองว่าไม่มีผลกระทบ หรือไทยจะได้เปรียบสินค้าจากเวียดนามอย่างมีนัยสำคัญ เพราะโดยปกติสินค้าที่ผลิตในเวียดนามมีต้นทุนถูกกว่าไทย 5-10%
“ขณะเดียวกัน เวียดนามกำลังสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ในภาคใต้ เพื่อขนส่งสินค้าโดยตรงจากเวียดนามไปสหรัฐและยุโรป โดยไม่ต้องผ่านสิงคโปร์เหมือนในอดีต และจะทำให้ค่าขนส่งถูกลง”
สำหรับสินค้าหลัก ๆ ที่ไทยและเวียดนามเป็นคู่แข่งขันกันโดยตรงในตลาดสหรัฐ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตร และสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเวียดนามมีจุดเด่นคือมีการเมืองที่นิ่ง ต้นทุนการผลิตถูกกว่าไทย เช่น ค่าแรงงาน มีแรงงานในวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก มีประชากรกว่าร้อยล้านคน มีการเติบโตของจำนวนประชากร และมีหนี้สินครัวเรือนต่ำ ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และราคาที่ดินสำหรับสร้างโรงงานไม่แพง
17 FTA เวียดนามตัวช่วยมากกว่า :
นอกจากนี้ ยังมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ถึง 17 ฉบับกับ 60 ประเทศ (ส่วนไทยมี FTA 16 ฉบับ กับ 23 ประเทศหรือเขตเศรษฐกิจ) มีนโยบายอำนวยความสะดวกในการส่งออก มีตลาดภายในที่กำลังเติบโต มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเร็ว ขณะเดียวกันยังมีความคล่องตัวในการแก้ไขปัญหากฎระเบียบให้สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนต่างประเทศ ทำให้เวียดนามได้รับความสนใจจากนักลงทุนจากต่างประเทศ
“ในสภาวะที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนกำลังเข้มข้น สหรัฐประกาศภาษีตอบโต้กับหลายประเทศ โดยมุ่งสกัดการสวมสิทธิ์ไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐ (Transshipment) ไทยควรถือโอกาสนี้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น ชักชวนให้ผู้ผลิตจีนในไทยใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในไทยมากขึ้น (Local Content) เช่นเดียวกับที่ผู้ผลิตซึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่นในไทยทำอยู่แล้วในหลายสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยให้เอสเอ็มอีไทยเข้าร่วมห่วงโซ่อุปทานของจีนได้ ผู้ผลิตไทยต้องพร้อมปรับตัวในเรื่องนี้”
จี้เตรียมซอฟต์โลน-เร่งหาตลาดใหม่ :
นายสนั่น ยังได้ให้คำแนะนำ/ข้อเสนอต่อภาครัฐในการรับมือกับมาตรการภาษีสหรัฐ และรักษาความสามารถแข่งขันของไทย ว่า ขอให้ภาครัฐเร่งรัดการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ และออกมาตรการเยียวยาผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐ โดยเสนอให้ภาครัฐออกมาตรการ soft loan (เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ) ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
ขณะที่ ทางสภาอุตสาหกรรมฯ สภาหอการค้า และกระทรวงพาณิชย์จะเร่งร่วมมือกันหาตลาดใหม่ ๆ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม จะร่วมกันจัดงานแสดงสินค้าเพื่อช่วยหาตลาดเพิ่มทั้งภายในและต่างประเทศให้ผู้ประกอบการไทย และที่สำคัญ ภาครัฐควรเร่งเดินหน้าทำ FTA กับสหภาพยุโรป (อียู) เพื่อลดความเสียเปรียบต่อเวียดนามที่มี FTA กับอียูแล้ว
ภาพรวมสินค้าไทยพ่ายเวียดนาม :
ด้าน รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และอาเซียน กล่าวว่า ในปี 2567 เวียดนามส่งออกสินค้าไปสหรัฐมูลค่า 136,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 30% ของการส่งออกสินค้าโดยรวมของเวียดนามไปทั่วโลก นำเข้าจากสหรัฐ 13,100 ล้านดอลลาร์ เวียดนามได้ดุลการค้าสหรัฐ 123,500 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทยส่งออกไปสหรัฐมูลค่า 63,300 ล้านดอลลาร์ นำเข้า 17,700 ล้านดอลลาร์ ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐ 45,600 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ ใน 24 สินค้าส่งออกหลักของไทยกับเวียดนามที่ส่งไปขายในตลาดสหรัฐ (ข้อมูลปี 2567) ซึ่งสินค้าส่วนของไทยคิดเป็นสัดส่วน 53% ของการส่งออกทั้งหมดไปสหรัฐ และเวียดนามคิดเป็น 65% ของการส่งออกเวียดนามไปสหรัฐ หากเปรียบเทียบเฉพาะสองประเทศที่ 100% สินค้าจากเวียดนามจะมีส่วนแบ่งตลาดโดยรวมคิดเป็น 72% ส่วนไทยมีส่วนแบ่งตลาดโดยรวมคิดเป็น 28%
โดยหากเปรียบเทียบสินค้า 10 รายการแรกที่มีมูลค่าสูงสุด ที่ไทยและเวียดนามเป็นคู่แข่งขันกันในตลาดสหรัฐในปี 2568
1)คอมพิวเตอร์ เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาด 69.5% ไทย 30.5%
2)โทรศัพท์ เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาด 62.5% ไทย 37.5%
3)เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาด 92.5% ไทย 7.3%
4)ชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริม (อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักร) เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาด 79.7% ไทย 20.3%
5)เซมิคอนดักเตอร์ เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาด 61.9% ไทย 38.1%
6)เก้าอี้ (ไม่รวมทางการแพทย์) เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาด 96.6% ไทย 3.4%
7)ไมโครโฟน เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาด 93.4% ไทย 6.6%
8)รองเท้าที่มีพื้นรองเท้าด้านนอกทำจากยาง พลาสติก หนัง เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาด 99.7% ไทย 0.3%
9)อุปกรณ์ส่งสัญญาณสำหรับการกระจายเสียงทางวิทยุหรือโทรทัศน์ เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาด 65% ไทย 35% และ
10)เสื้อเจอร์ซีย์ เสื้อสเวตเตอร์ เสื้อคาร์ดิแกน เสื้อกั๊ก เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาด 93.1% ไทย 6.9%
มีแค่ 5 รายการที่ไทยชนะ :
“ส่วนแบ่งตลาดตรงนี้เปรียบเทียบกันสองประเทศเฉพาะเวียดนามกับไทยในตลาดสหรัฐเท่านั้น โดยเปรียบเทียบในสัดส่วน 100% จะมีส่วนแบ่งตลาดในแต่ละสินค้าในอัตราเท่าใด ซึ่งใน 24 สินค้าส่งออกหลักของไทยและเวียดนามที่ส่งออกไปสหรัฐ มีเพียง 5 รายการที่เรามีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าสินค้าจากเวียดนาม
ได้แก่ ข้าว (ไทยมีส่วนแบ่งตลาด 96.6%) ผลไม้สด (ส่วนแบ่งตลาด 85.8%) อาหารทะเลแช่แข็ง (ส่วนแบ่งตลาด 82.8%) ถุงมือยาง (ส่วนแบ่งตลาด 88.5%) และหม้อแปลงไฟฟ้าและอุปกรณ์ (ส่วนแบ่งตลาด 60.1%) ส่วนสินค้าอื่น ๆ ส่วนใหญ่สินค้าจากเวียดนามจะมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐมากกว่าไทย”
หากวิเคราะห์ต่อ ภายใต้ภาษีไทยที่ 19% และเวียดนามที่ 20% ขณะที่ต้นทุนและราคาสินค้าเวียดนามโดยเฉลี่ยต่ำกว่าไทย 5-10% ซึ่งค่าความยืดหยุ่นของความทดแทนระหว่างสินค้าเวียดนามกับสินค้าจากไทย เท่ากับ 0.8% หมายความว่าถ้าราคาสินค้าเวียดนามถูกกว่าไทย 1% คนก็จะหันไปซื้อสินค้าจากเวียดนาม 0.8%
เพราะฉะนั้น หากราคาสินค้าเวียดนามถูกกว่าไทย 5% คนอเมริกันก็จะหันไปซื้อสินค้าจากเวียดนามเพิ่มขึ้นอีก 4% ถ้าราคาเวียดนามลดลงหรือถูกกว่าไทย 10% ก็จะหันไปซื้อสินค้าจากเวียดนามเพิ่มขึ้นอีก 8% เพราะเป็นสินค้าที่ทดแทนกันได้ โดยเขาจะดูเรื่องราคาเป็นหลัก

5 เดือนท้ายไทยส่อวูบ 1.9 แสนล้าน :
อย่างไรก็ตาม จากผลการศึกษาพบว่าผลกระทบจากสหรัฐขึ้นภาษีครั้งนี้ จะทำให้การส่งออกของเวียดนามลดลง 18,909 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยจะลดลง 8,161 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อรวมถึงผลกระทบสินค้าทดแทนระหว่างไทยกับเวียดนาม ทำให้ทั้งปี มูลค่าการส่งออกไทยจะลดลง 457,380 ล้านบาท และทำให้การส่งออกไทยในเวลาที่เหลืออีก 5 เดือน (ส.ค.-ธ.ค. 2568) จะลดลงไป 190,575 ล้านบาท คิดเป็น 1.9% ของการส่งออกรวมของไทย
สำหรับข้อเสนอแนะรัฐบาลไทย เพื่อรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากภาษีนำเข้าตลาดสหรัฐที่เพิ่มขึ้นในครั้งนี้ คือ
1)เร่งวางยุทธศาสตร์ชาติเพื่อการจัดการสินค้าสวมสิทธิ และสินค้าที่ใช้แหล่งกำเนิดสินค้าภายในประเทศไทยต่ำกว่า 40% นอกจากนี้ ร่วมมือกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ในการจัดทำระบบการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าสวมสิทธิ ที่เรียกว่า “Digital Traceability”
2)สร้างห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมไทยใหม่ ที่สามารถกระจายและเชื่อมโยงกับตลาดอื่น และยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ ไม่ให้ลดลง
3)ปรับโครงสร้างภาคการผลิตอย่างยิ่งจริงจัง โดยการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมตามเทรนด์โลก
4)สร้างระเบียบการลงทุนใหม่ ที่กำหนดให้ทุนต่างชาติเชื่อมโยงและใช้วัสดุจาก SMEs และเกษตรกรไทย ให้เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 13 สิงหาคม 2568