AI กำลังสร้างหายนะให้ "มาเลเซีย" ฮับ Data Center เจอวิกฤติ "พลังงาน-น้ำ"
KEY POINTS :
* AI ทำให้ 'รัฐยะโฮร์' ของมาเลเซียกลายเป็นฮับ Data Center แห่งใหม่
* ความต้องการไฟฟ้าสำหรับ Data Center ที่วางแผนไว้ในรัฐยะโฮร์สูงกว่ากำลังการผลิตปัจจุบันเกือบ 10 เท่า
* ศูนย์ข้อมูลใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อน ทำให้ปัญหาขาดแคลนน้ำรุนแรงขึ้น จนต้องพึ่งพาน้ำจากสิงคโปร์ และสร้างอ่างเก็บน้ำใหม่ถึง 3 แห่ง
* เพื่อรองรับความต้องการพลังงาน มาเลเซียมีแผนจะเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งขัดแย้งโดยตรงกับเป้าหมาย Net Zero ในปี 2573
ซีเอ็นบีซี รายงานว่า "รัฐยะโฮร์" ทางตอนใต้ของประเทศมาเลเซีย กำลังกลายเป็นศูนย์กลางของ "ศูนย์ข้อมูล" หรือ Data Center ที่เติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความต้องการประมวลผลของ AI พุ่งสูงขึ้น
AI ถูกมองว่าเป็นโอกาสในสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจหลายแสนล้านดอลลาร์ แต่สิ่งที่มาพร้อมกันคือ ความต้องการ "พลังงาน และน้ำ" จำนวนมหาศาลเพื่อรองรับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
โปรเจกต์ศูนย์ข้อมูลปักหมุด ‘มาเลเซีย’ :
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐยะโฮร์ของมาเลเซียได้กลายเป็นที่ตั้งสำคัญของศูนย์ข้อมูลระดับโลก โดยดึงดูดการลงทุนมูลค่ามหาศาลจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Google, Microsoft และ ByteDance เนื่องจากมีจุดเด่นหลายประการ เช่น ที่ดิน และทรัพยากรราคาถูก ทำเลที่ตั้งที่ใกล้กับ สิงคโปร์ และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ
แม้ว่าการลงทุนเหล่านี้จะช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และงานใหม่ๆ แต่ก็เริ่มมีสัญญาณว่าการขยายตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมนี้กำลัง “เกินขีดจำกัด” ของพลังงาน และทรัพยากรธรรมชาติ ในพื้นที่ จนทำให้เจ้าหน้าที่ต้องชะลอการอนุมัติโครงการใหม่ๆ เพื่อบริหารจัดการผลกระทบที่เกิดขึ้น
‘มาเลเซีย’ เผชิญวิกฤติพลังงาน และน้ำ :
ปัจจุบัน รัฐยะโฮร์มีกำลังการผลิตพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูลอยู่ที่ประมาณ 580 เมกะวัตต์ แต่กำลังการผลิตที่วางแผนไว้ทั้งหมดซึ่งรวมถึงโครงการที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นมีตัวเลขสูงเกือบ 10 เท่าของจำนวนดังกล่าว หรือสามารถจ่ายไฟให้ครัวเรือนได้ถึง 5.7 ล้านครัวเรือนต่อชั่วโมง
ธนาคาร Kenanga Investment Bank Berhad ประเมินว่าภายในปี 2578 การใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลทั่วประเทศจะสูงถึง 20% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายด้านพลังงานที่กำลังรออยู่จากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมของมาเลเซีย ได้เปิดเผยว่าประเทศมีแผนจะเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติอีก 6 ถึง 8 กิกะวัตต์ และคาดว่าการใช้พลังงานโดยรวมจะเพิ่มขึ้นถึง 30% ภายในปี 2573 ซึ่งขัดแย้งกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศที่ต้องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ให้เร็วที่สุดภายในปี 2050
นอกจากนี้ ปัญหาเรื่อง “น้ำ” ยังเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญ เนื่องจากศูนย์ข้อมูลใช้น้ำในปริมาณมหาศาลเพื่อระบายความร้อนอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ให้ร้อนเกินไป โดยมีการประเมินว่าศูนย์ข้อมูลขนาด 100 เมกะวัตต์โดยเฉลี่ยต้องใช้น้ำถึง 4.2 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณน้ำที่ใช้ในหลายพันครัวเรือน
จึงไม่แปลกใจที่รัฐยะโฮร์มักเจอปัญหาการขาดแคลนน้ำ และยังต้องพึ่งพาน้ำประปาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “สิงคโปร์” เป็นส่วนใหญ่ โดยมีรายงานว่าขณะนี้รัฐยะโฮร์อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง อ่างเก็บน้ำ และโรงบำบัดน้ำแห่งใหม่ถึง 3 แห่ง เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้โดยเฉพาะ
การมาของ AI ต้องแลก ‘ทรัพยากร’ :
ศูนย์ข้อมูลเปรียบเสมือน "กระดูกสันหลังของโลกดิจิทัล" ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บข้อมูล และประมวลผลคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนทุกอย่างในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายออนไลน์ สื่อสังคมออนไลน์ การธนาคารดิจิทัล ไปจนถึงระบบ AI ที่นับวันยิ่งมีบทบาทมากขึ้น
กรณีของรัฐยะโฮร์ในมาเลเซีย เป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ และความท้าทายด้านพลังงาน และน้ำที่ตามมา
แม้ว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมจะยังคงเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การก่อสร้างศูนย์ข้อมูลก็เผชิญกับอุปสรรคสำคัญ ทั้งจากข้อจำกัดด้านพลังงาน และความล่าช้าในการขออนุญาต ทำให้บางรัฐบาลต้องเร่งกระบวนการอนุมัติ และจัดหาพลังงานใหม่ที่ราคาถูกลง ซึ่งนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่างกังวลว่าแนวทางนี้อาจส่งผลกระทบ และขัดแย้งกับ เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ของโลก
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เสนอ “แผนปฏิบัติการ AI” เพื่อลดขั้นตอนการอนุญาต และยกเลิกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อเร่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานสำหรับ AI
อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon และ North Carolina State คาดการณ์ว่าการเติบโตของศูนย์ข้อมูล และการขุดสกุลเงินดิจิทัลจะทำให้ ค่าไฟฟ้าของชาวอเมริกันเพิ่มขึ้น 8% และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตพลังงานเพิ่มขึ้นถึง 30% ภายในปี 2573
ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รายงานในเดือนพ.ค.ชี้ว่า ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกได้เพิ่มขึ้นสูง จนเทียบเท่ากับปริมาณการใช้ไฟฟ้ารวมของประเทศ เยอรมนี และฝรั่งเศสในปี 2566 ซึ่งเกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่ OpenAI เปิดตัวโมเดล AI อย่าง ChatGPT ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับวงการเทคโนโลยีทั่วโลก
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่ประเมินว่าโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับ AI อาจใช้น้ำมากกว่าประเทศ เดนมาร์ก ถึง 4-6 เท่าภายในปี 2027 ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้น
มาเลเซียไม่นิ่งเฉย เร่งออกแผนแก้ปัญหา :
ทั้งนี้ มาเลเซียกำลังส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าต้องการควบคุมการใช้พลังงาน และทรัพยากร ของอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูล โดยรัฐบาลมีแผนจะเปิดตัว “กรอบการทำงานสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ยั่งยืน” ภายในเดือนต.ค.นี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น
เพื่อรับมือกับความต้องการพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น เจ้าหน้าที่ยังได้อนุมัติโครงการ พลังงานหมุนเวียนเพิ่ม พร้อมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้พลังงานนิวเคลียร์ด้วย
ในด้านการใช้น้ำ รัฐยะโฮร์ได้เริ่มใช้อัตราค่าน้ำที่สูงขึ้นสำหรับศูนย์ข้อมูลตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา และยังสนับสนุนให้อุตสาหกรรมหันมาใช้น้ำรีไซเคิลแทน นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตว่าศูนย์ข้อมูลที่สร้างใหม่บางแห่งเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่ต้องพึ่งพาน้ำในการระบายความร้อนเลย ซึ่งเป็นแนวทางที่ยั่งยืนในระยะยาว
ต้องมีกฎหมายระดับโลกคุม Data Center :
ในระดับภูมิภาค ความกังวลเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองของศูนย์ข้อมูลไม่ใช่เรื่องใหม่
ย้อนไปในปี 2562 สิงคโปร์ เคยประกาศระงับการสร้างศูนย์ข้อมูลเป็นเวลาถึง 3 ปี เพื่อควบคุมการใช้พลังงาน และน้ำอย่างจริงจัง ซึ่งหลังจากการระงับดังกล่าว อุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูลจึงเริ่มย้ายฐานการลงทุนไปยังรัฐยะโฮร์ของมาเลเซีย ซึ่งมีกฎระเบียบที่ผ่อนคลาย และเป็นมิตรมากกว่า
ต่อมาในปี 2565 สิงคโปร์ได้ยกเลิกการระงับ และเปิดตัว “แผนงานศูนย์ข้อมูลสีเขียว” (Green Data Centre Roadmap) ซึ่งมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการนำพลังงานสะอาดมาใช้มากขึ้น
สถานการ์นี้สะท้อนว่า กฎระเบียบที่เข้มงวดของบางประเทศอาจทำให้ผลกระทบข้ามไปสู่ตลาดที่มีการควบคุมน้อยกว่า เนื่องจากยังขาดมาตรการป้องกันระหว่างประเทศที่ชัดเจน ทำให้โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ออกมาเรียกร้องให้มีกฎหมายระดับโลกเพื่อควบคุมเรื่องนี้โดยเฉพาะ
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 18 สิงหาคม 2568