"อมตะวีเอ็น" ปักหลักเวียดนาม ชี้จุดแข็งนโยบายรัฐดันเศรษฐกิจติดจรวด
หลักในการเลือกพื้นที่ที่เป็นยุทธศาสตร์เพื่อที่จะลงทุนสร้าง "นิคมอุตสาหกรรมอมตะ" เราต้องหาทำเลที่มีครบทุกองค์ประกอบ ได้แก่ เชื่อมต่อใกล้ท่าเรือ ถนน เส้นทางรถไฟ บวกกับแรงงานในพื้นที่มีเพียงพอ แน่นอนว่าความแข็งแรงของที่ดินเองก็คือเรื่องสำคัญ
บทสัมภาษณ์ส่วนหนึ่งของ “สมหะทัย พานิชชีวะ” กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) หรือ AMATAV ที่เล่าให้ “ประชาชาติธุรกิจ” ฟัง นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงแผนความสำเร็จของอมตะฯ หลังจากเข้าไปลงทุนที่เวียดนามยาวนานถึง 30 ปี และยังชี้ให้เห็นถึงจุดแข็งของเวียดนามที่ทำไม GDP ถึงโตได้กว่า 7% แม้เศรษฐกิจโลกจะฝืดมากก็ตาม
รัฐบาลเวียดนามชัดเจนทุกเรื่อง :
ตอนนี้ที่เวียดนาม เรามีนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ เบียนหัว, อมตะซิตี้ ลองถั่น, อมตะซิตี้ ฮาลอง, นิคมอุตสาหกรรม Quang Tri Industrial Park (QTIP) ที่ร่วมทุนกับต่างชาติ ล่าสุดเราลงทุนซื้อที่ดินในเมืองฟูเถาะ (Phu Tho) 500 เฮกตาร์ หรือประมาณ 3,000 ไร่ คาดว่าในช่วงปลายปี 2568 จะได้รับใบอนุญาต ที่เราเลือกเวียดนามหากพิจารณาอย่างละเอียด
จริง ๆ แล้วจะเห็นว่า ในปี 2567 เวียดนามมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) สูงถึง 7.52% และในปี 2568 คาดการณ์ว่า GDP จะโตได้ 8-10% และมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นไปแตะ 10% ได้ใน 2-3 ปีข้างหน้า มันมาจากนโยบายรัฐบาลล้วน ๆ เช่น รัฐบาลเวียดนามมีมาตรการลดกระบวนการดำเนินการลง เขาตัดบางกระทรวงที่ไม่จำเป็นทิ้ง และเขาก็ใช้วิธีกระจายอำนาจไปสู่ระดับจังหวัด มันเลยยิ่งทำให้เรื่องการอนุมัติอนุญาตโครงการลงทุนเร็วขึ้นไปอีก
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเวียดนามเร่งผลักดันด้านการลงทุนและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติอย่างมาก ยิ่งทำให้เขาโต บวกกับเขามีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ตัวอื่นทำให้ตลาดส่งออกของเขา ไม่ได้มุ่งไปแค่ที่สหรัฐเพียงอย่างเดียว เขายังได้ตลาดตะวันออกกลาง อินเดีย ได้สิทธิจาก FTA ในตลาดอื่นอีก ยิ่งทำให้เวียดนามเป็นที่ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลเวียดนามกล้าตัดสินใจ ยิ่งการเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐอเมริกาจบเร็ว แล้วเขาก็ชัดเจนว่า เขาเอาอะไรไปแลกมา อย่างเวลาที่เราเข้าไปคุยกับรัฐบาลเขา มีปัญหาอยู่ 5 เรื่อง เขาสามารถแก้ไขให้เราได้เลย 2 เรื่องทันทีในตอนนั้น จากนั้นเขาก็เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามา พยายามเอาจริงเอาจังเพื่อแก้ปัญหาให้กับนักลงทุนอย่างเรา
เราเห็นภาพผู้นำแต่ละประเทศนำคณะนักลงทุนมาพบนายกรัฐมนตรีเวียดนามบ่อยมาก มาแต่ละครั้งยิ่งใหญ่อลังการ มีการลงนาม MOU กันหลายเรื่อง มันกำลังสะท้อนให้เห็นบางอย่างว่า ประเทศเหล่านั้นเขาให้ความสำคัญกับเวียดนามมาก เพราะผู้นำมาเอง แม้เราจะอยู่ในฐานะนักลงทุนที่มีทั้งในไทยและเวียดนาม แต่เราก็บอกได้เลยว่า ประเทศไทยก็สู้ได้ เพียงแต่ภาพที่นักลงทุนเขากำลังทำตอนนี้ มันสะท้อนให้เห็นว่าไทยเรากำลังหมดความสำคัญหรือไม่
เวียดนามเร่งแก้ปัญหาไฟฟ้า :
ที่เวียดนาม เขาก็มีเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Economic Zone) ให้สิทธิประโยชน์สูงเหมือนกัน เวียดนามจะมีเป็นระดับ แต่บีโอไอเขาต่างจากเรา เพราะเขาจะให้ในวันที่มีกำไรและต้องไม่เกิน 15 ปี ส่วนที่ไทยให้ในวันที่เรามีรายได้ และกฎหมายของเวียดนามก็ค่อนข้างที่จะคิดออกมาว้าวมาก อย่างการควบคุมนิคมอุตสาหกรรม เขามีอยู่ 300-400 นิคมอุตสาหกรรม มันมีที่บางแห่งรับลูกค้าไม่เลือก รัฐบาลเขาก็เลยคิดใหม่ ถ้าจังหวัดไหนไม่มีการจองพื้นที่เกิน 60% จะไม่ให้ใบอนุญาต เขาต้องการตัดนิคมอุตสาหกรรมที่รับลูกค้าไม่เลือก ทำให้มีผลต่อด้านสิ่งแวดล้อมเขาด้วย แต่ถ้าเป็นอุตสาหกรรมไฮเทคเข้ามา เขาสนับสนุน จะให้หมด
อุตสาหกรรมไฮเทค Data Center เป็นเป้าหมายที่เวียดนามก็ต้องการ แต่สำหรับอมตะ วีเอ็น เราไม่รับเพราะกลุ่มพวกนี้ใช้พื้นที่น้อย ไม่ใช้แรงงานเลย แต่กลับใช้ไฟเยอะมาก 10 เท่าจากปกติ ใช้น้ำ 8 เท่า ธุรกิจเรา นิคมอุตสาหกรรมคือการขายที่ดิน ดังนั้น ถ้าเป็น Data Center เราไม่เอา แต่มันก็ยากที่กลุ่มเหล่านี้จะไปเวียดนาม เพราะไฟฟ้าที่เวียดนามเขามีจำกัด
แม้ว่าจะเสถียรมากขึ้นกว่าในอดีต และเขาก็กำลังมี Direct PPA ส่งไฟจากภาคเหนือผ่านสายส่งของรัฐเก็บค่าบริการ เพื่อที่จะขายไฟให้กับลูกค้าในภาคใต้ ซึ่งที่ไทยเรายังไม่สามารถทำได้ เรื่องลูกค้า เราเน้นเอากลุ่มไฮเทคดีกว่า ลงทุนมากใช้ที่มาก ใช้แรงงาน แม้จะใช้น้ำใช้ไฟมากกว่าปกติ แต่มันก็แค่ 2-3 เท่าแค่นั้น และเมื่อพวกนี้มามาก เราก็อาจทำ Service Land รองรับเองเลย
นิคมใหม่ 3,000 ไร่ ที่ฟูเถาะ :
พื้นที่ที่ฟูเถาะเป็นที่ใหม่ อยู่ทางตอนเหนือของเวียดนาม ที่เราเลือกเพราะโครงสร้างพื้นฐานดี แม้ฟูเถาะไม่มีท่าเรือน้ำลึก แต่ก็มีเส้นทางเชื่อมกับท่าเรือไม่ไกลมาก ที่สำคัญตรงนี้ติดกับฮานอย แถมโลเกชั่นยังใกล้กับหล่าวกาย (Lao Cai) ตรงนั้นมันเป็นเขตชายแดนที่จะเชื่อมไปจีนอีกไม่ไกล คาดว่าปลายปีนี้เราก็น่าจะได้ใบอนุญาตเพื่อก่อสร้างทำนิคมอุตสาหกรรม ขนาด 3,000 ไร่ ถือว่าใหญ่มาก ซึ่งที่เวียดนามก็ไม่ต่างจากไทย จังหวัดเองเขามีผังเมืองของเขา
ทุก 5 ปี เขาจะวางตำแหน่งกำหนดโซนนิ่งไว้ว่า ตรงไหนจะทำนิคมอุตสาหกรรม แน่นอนการจะรวมพื้นที่ให้ได้ขนาดนี้มันต้องมีอุปสรรค อย่างบางทีเจอทางสาธารณะ คลองขวาง ทางถนน ถ้าเขาเห็นแผนการลงทุนเรา ชัดเจนว่าจะทำนิคมอุตสาหกรรม ผู้ว่าจังหวัดเขาสามารถยกเลิกให้ได้เลย เขาก็ทำตามที่เหมาะสม หากผ่านความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็ผ่าน
หลักในการเลือกพื้นที่ เราต้องหาจุดที่มีสาธารณูปโภคครบ มีประชากรอาศัย ใกล้ท่าเรือ มีถนน ใกล้เส้นทางรถไฟ มีแรงงาน มีความแข็งแรงของที่ดินเอง ก็คือเรื่องสำคัญ ลุ่มน้ำ ภูเขา เราต้องเลือกดี ๆ ที่ตรงไหนดินนุ่มไปก็ไม่เหมาะ สำหรับที่ฟูเถาะ เราจะเริ่มก่อสร้างปี 2569 พร้อมขายที่ดินปี 2570 แต่ราคาที่นี่ค่อนข้างสูงเพราะอยู่ติดกับฮานอย และที่นี่ต้องเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่รองรับไฮเทค เซมิคอนดักเตอร์ แน่นอนว่ามันเข้าทางเราอยู่แล้ว
เตรียมเงินซื้อที่ 1,500 ล้าน :
อมตะ วีเอ็น จะใช้เงินในช่วง 3 ปี (2569-2571) ประมาณ 1,500 ล้านบาท เพื่อที่จะเก็บที่ดินและรวมค่าก่อสร้างสาธารณูปโภค และวางเป้าหมาย 5 ปีจากนี้จะมีที่ดินในมือเพิ่มอีก 6,000 ไร่ ส่วนรายได้รวมในปี 2568 ตั้งไว้ที่ 6,000 ล้านบาท ยอดขายที่ดิน 500 ไร่ โดยครึ่งปีแรกมีรายได้ 1,980 ล้านบาท ขายที่ดินได้แล้ว 20%
มั่นใจว่าครึ่งปีหลังจะทยอยรับรู้ Backlog เข้ามาอีกประมาณ 20-30 เฮกตาร์ ตอนนี้เรามีที่ดินรวม 18,000 ไร่ ขายไปแล้ว 9,000 ไร่ เหลือขายอีกประมาณ 50% ใน 3-4 ปีก็น่าจะขายหมด เราก็ต้องหาซื้อเพิ่ม เป็นที่ดินใหม่ทางภาคใต้และภาคเหนืออีก และส่วนหนึ่งก็คงขยายที่ฮาลองด้วย
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 23 สิงหาคม 2568