Global South "ระเบียบค้าใหม่" จีนเป็นผู้สร้าง-"ผู้เล่น" สำคัญ
การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ เก็บภาษีศุลกากรสินค้าต่างประเทศหนักหน่วงขึ้นกว่าสมัยแรก โดยสมัยนี้เรียกเก็บกับทุกประเทศไม่ใช่แค่เพียงจีน แต่จีนก็ยังคงเป็นเป้าเล่นงานใหญ่จากทรัมป์ไม่ต่างจากสมัยแรก เป็นสาเหตุให้จีนเร่งมือสร้างและขยายตลาดใหม่สำหรับการส่งออกเพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งถึงแม้แนวโน้มนี้จีนจะดำเนินการมาตลอดนับจากสมัยแรกที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี แต่ก็เร่งตัวขึ้นมากกว่าเดิมในสมัยที่สองของทรัมป์นี้
งานวิจัยของเอสแอนด์พี โกลบอล ระบุว่า แรงกดดันจากภาษีศุลกากร ทำให้บรรดาบริษัทชั้นนำของจีนต่างพากันมุ่งหน้าไปค้าขายและลงทุนกับกลุ่มประเทศ Global South อันหมายถึงประเทศในเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชียกลาง และยุโรปตะวันออก
ทำให้การค้าขายระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศเหล่านี้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันจีนส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้เกิน 50% หรือมีมูลค่า 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ สูงกว่าการส่งออกไปสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตกรวมกันที่มีมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้โดยเฉลี่ยแล้วมูลค่าการค้าระหว่างจีนกับ 20 ประเทศคู่ค้าใน Global South มีสัดส่วนเกือบ 20% ของจีดีพีจีน
บริษัทจีนไม่ได้เพียงแค่ส่งออกไปยังตลาดเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังไปตั้งโรงงานผลิตด้วย เฉพาะใน 4 ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีนลงทุนเพิ่มขึ้น 4 เท่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าประมาณ 8.8 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งมีแนวโน้มว่าการลงทุนจะเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งไม่เพียงเป็นการหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีจากสหรัฐ หรือหาแหล่งทรัพยากรใหม่ ๆ แต่เป็นการพัฒนาตลาดขึ้นมาใหม่และลดการพึ่งพาสหรัฐ
ในแถลงการณ์รัฐบาลจีน เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ว่า “การผงาดขึ้นของ Global South ในฐานะของการพัฒนาในอนาคต” สะท้อนให้เห็นกลยุทธ์สำคัญและแผนในอนาคตของบริษัทชั้นนำของจีน การที่จีนมุ่งหน้าไปที่ Global South อาจเป็นการสร้าง “ระเบียบการค้าใหม่” โดยที่การค้าระหว่าง South กับ South จะกลายเป็น “ศูนย์กลางใหม่” ของแรงโน้มถ่วง โดยมีจีนเป็น “ผู้เล่นสำคัญ”
จีนส่งออกไป Global South เพิ่มขึ้นเท่าตัวนับจากปี 2015 เมื่อเทียบกับการส่งออกไปสหรัฐที่เพิ่มขึ้น 28% ส่งออกไปยุโรปตะวันตกที่เติบโต 58% และแนวโน้มนี้ยิ่งชัดเจนมากขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จนในที่สุดทำให้สัดส่วนการส่งออกของจีนไปยัง Global South มีสัดส่วนมากกว่า 50% และมากกว่ามูลค่าส่งออกไปสหรัฐและยุโรปรวมกันดังกล่าว
เพียงแค่การส่งออกไป 3 ภูมิภาค ก็เกินมูลค่าที่ส่งออกไปสหรัฐและยุโรป เช่น ส่งออกไปเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีมูลค่า 7.59 แสนล้านดอลลาร์ ละตินอเมริกา 2.64 แสนล้านดอลลาร์ และตะวันออกกลาง 2.19 แสนล้านดอลลาร์
ส่วนการนำเข้านั้น จีนนำเข้าจาก Global South เพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งเท่าตัวนับตั้งแต่ปี 2015 ไปแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือมากกว่าที่นำเข้าจากสหรัฐ 6 เท่า มากกว่านำเข้าจากยุโรป 4 เท่า
ในขณะเดียวกัน Global South เป็นตลาดส่งออกของจีนถึง 44% ในปี 2024 เพิ่มขึ้นจาก 35% ในปี 2015 ส่วนในช่วงเดียวกัน ส่วนแบ่งตลาดของจีนในสหรัฐลดลงจาก 18% ไปอยู่ที่ 15% ส่วนตลาดยุโรปยังคงเดิมที่ 14% พร้อมกันนั้นอีกเช่นกันที่ตลาด Global South กลายเป็นแหล่งเกินดุลการค้าของจีนมากกว่า 54% ของการเกินดุลการค้าทั้งหมด เทียบกับสหรัฐที่เป็นแหล่งเกินดุลของจีน 36% ยุโรป 23%
ในกรณีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) นั้น บริษัทจีนเร่งขยายตลาดอย่างรวดเร็ว การค้ากับภูมิภาคนี้เพิ่มจาก 17% ของจีดีพีของภูมิภาคในปี 2015 ไปเป็น 25% ในปี 2024 มากกว่าแอฟริกาเท่าตัว มากกว่าตะวันออกกลางและละตินอเมริกา 3 เท่า ซึ่งจีนมีการลงทุนในภูมิภาคนี้ ทั้งด้านการผลิต โครงสร้างพื้นฐาน บริการสนับสนุนและการฝึกงาน ทำให้เงินลงทุนโดยตรง (เอฟดีไอ) จากจีนที่เข้าไปยังอาเซียนพุ่งขึ้นมาก เฉพาะ 4 ประเทศอาเซียนที่เป็นคู่ค้าใหญ่ของจีน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย เวียดนาม นั้นเอฟดีไอจากจีนเพิ่มขึ้น 4 เท่า จาก 2.2 พันล้านดอลลาร์ต่อปีในทศวรรษ 2010 เป็น 8.8 พันล้านดอลลาร์ต่อปีในช่วงเร็ว ๆ นี้
ผลกระทบจากการที่จีนไปลงทุนในอาเซียน เห็นชัดที่สุดในอินโดนีเซีย ซึ่งเอฟดีไอจากจีนไปลงทุนภาคการผลิตเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า ทำให้อินโดนีเซียมีเงินทุนสำหรับพัฒนาอุตสาหกรรมนิกเกิลอย่างรวดเร็ว และวางตำแหน่งตัวเองให้เป็น “ซัพพลายเชน” รถยนต์ไฟฟ้า ส่วนประเทศไทย ทางบริษัทจีนเน้นลงทุนใน “ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก” ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตที่รัฐบาลส่งเสริม และจีนยังเพิ่มการลงทุนในกิจการรถยนต์
ส่วนในมาเลเซีย พบว่าเอฟดีไอจากจีนเกือบ 80% มุ่งไปที่อุตสาหกรรมผลิต อย่างเช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์การขนส่งและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ขณะที่ในเวียดนาม เงินลงทุนจีนไหลเข้าไปใน 18 เซ็กเตอร์ ในจำนวนนี้อยู่ในภาคการแปรรูปและอุตสาหกรรมการผลิตมากที่สุดกว่า 60%
จีนยังคงเดินหน้าตามแผน “มุ่งสู่ใต้” ต่อไปท่ามกลางแรงบีบจากทรัมป์ ล่าสุดนี้ผลักให้ 2 ประเทศจาก “ใต้” คือ อินเดียและจีน ซึ่งมีประชากรมากที่สุดในโลกอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ และเคยหมางเมินกันจากปัญหาพิพาทดินแดน หันมากระชับสัมพันธ์กัน โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้ไปเยือนอินเดีย 2 วัน เป็นครั้งแรกนับจากปี 2020 ปีที่สองฝ่ายมีการเยือนกัน
สำหรับอินเดียที่เคยเป็นพันธมิตรสหรัฐนั้น ยอมญาติดีกับจีนหลังจากถูกทรัมป์เล่นงานหนัก ขึ้นภาษีจาก 25% เป็น 50% สูงที่สุดในบรรดาประเทศอื่น ๆ โดยทรัมป์อ้างว่าเป็นการลงโทษอินเดียที่ยังซื้อน้ำมันจากรัสเซียที่กำลังรุกรานยูเครน หลังจากสองฝ่ายยังไม่บรรลุข้อตกลงการค้า เพราะอินเดียไม่ยอมเปิดตลาดภาคเกษตรให้กับสหรัฐ
ด้านสถานะของจีนกับสหรัฐ ล่าสุดทรัมป์ยอมขยายเวลา “พักรบ” การเก็บภาษีไปอีก 90 วัน หรือเป็นรอบที่สอง หลังจากก่อนหน้านี้ขยายมา 90 วัน เริ่มตั้งแต่ 12 สิงหาคม ไปจนถึง 10 พฤศจิกายน 2025 ทำให้สองประเทศยังเก็บภาษีกันในอัตราหลักสิบ แทนที่จะเก็บหลักร้อยตามที่ประกาศตอบโต้กันเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยจากนี้ไปจนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน สหรัฐจะยังคงเก็บจีน 30% จีนเก็บสหรัฐ 10%
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 24 สิงหาคม 2568