เศรษฐกิจไทยภายใต้จุดเปลี่ยนผ่าน | ตีโจทย์เศรษฐกิจ
จุดเปลี่ยนที่สำคัญครั้งแรกของประเทศไทย เกิดขึ้นเมื่อ 28 ปีก่อน ในปี 2540 เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง เราต้องเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบลอยตัว
ทำให้การส่งออกที่ผูกโยงกับเศรษฐกิจโลกขึ้นมามีบทบาทขับเคลื่อนประเทศมากกว่าการลงทุน และการลงทุนจากที่เคยมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจร้อยละ 50 ของ GDP ลดลงมาเหลือไม่เกินร้อยละ 25 ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันยาวนานถึง 27 ปี
ต่อมาในปัจจุบันเรากำลังเจอจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง คือ นโยบายของทรัมป์ 2.0 แต่พุ่งตรงไปยังประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้าด้วย ไม่ใช่เฉพาะจีนเท่านั้น ทำให้แทบไม่มีประเทศใดรอดพ้นผลกระทบจากสงครามการค้า เศรษฐกิจโลกอาจจะเข้าสู่ยุคชะลอตัวหรือขยายตัวในอัตราต่ำไปอย่างน้อย 2-3 ปี ฉะนั้น เศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักจึงหนีไม่พ้นผลกระทบเรื่องนี้
แม้ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในช่วงแรกจะดี เราจะเห็นการพุ่งขึ้นอย่างมากของการส่งออก การผลิตเริ่มฟื้นตัว เพราะผู้ส่งออกต้องเร่งส่งออก เร่งผลิต เพื่อหนีตายจากอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐ (Reciprocal Tariff) เพราะตอนนั้นสหรัฐยังปักหมุดไว้ที่ร้อยละ 36 และไม่รู้ว่าผลการเจรจาจะเป็นเช่นไร
แต่ภายหลังจากตัวเลขสุดท้ายอยู่ที่ร้อยละ 19 การส่งออกจะกลับสู่ระดับที่ลดลงจากเดิม กระทบต่อการผลิต การลงทุนและการจ้างงาน บวกกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ส่งผลให้รายได้ครัวเรือนและธุรกิจจลดลง ที่น่าเป็นห่วงคือคนตัวเล็กและร้านค้าตัวเล็ก
ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 และคาดว่าจะแตะจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 ครึ่งปีหลัง
ซึ่งกระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าน่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 1.4 เท่านั้น และค่อยๆ พลิกกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้นในไตรมาสที่ 1 2 3 และ 4 ของปี 2569 แต่ยังไม่ทันหมดปี เราก็เผชิญกับจุดเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลเก่าไปรัฐบาลใหม่ ที่ว่ากันว่าจะมีระยะเวลาทำงานสั้นเพียง 4 เดือนเท่านั้น
แต่อาจจะบวกกระบวนการต่าง ๆ ไปอีก 4 เดือน ทำให้อายุของรัฐบาลเพิ่มเป็นราว ๆ 8 เดือน และจะเป็น 8 เดือนที่จะได้รับการเฝ้ามองและคาดหวังมากเป็นพิเศษ เพราะต้องเผชิญปัญหาท้าทายทั้งภายนอกและภายใน เช่น Reciprocal Tariff ไทย-กัมพูชา การแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากจีน
นโยบาย มาตรการ โครงการ กระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิผลมากน้อยเพียงใด มีผลต่อประชาชนคนตัวเล็กเพียงใด เป็นต้น ฉะนั้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2569 จะเป็นไปตามภาพที่วาดเอาไว้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของรัฐบาลในการฝ่ามรสุมเศรษฐกิจนี้ไปได้ดีแค่ไหน
ดังนั้น เพื่อเป็นหลักประกันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นโยบายในระยะสั้นต้องมุ่ง “หยุดการทรุดตัวของเศรษฐกิจ” ให้ได้ภายในสิ้นปี 2568 และต้องสร้าง Momentum ต่อเนื่องไปยังต้นปี 2569 ส่วนในระยะยาวต้องเน้นการวางแผนเรื่อง “การยกระดับการเติบโตและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ” เพื่อส่งไม้ต่อไปยังรัฐบาลชุดใหม่
ผมขอเสนอนโยบายที่แยกเป็นระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้
(1)ในระยะสั้นต้องหยุดการทรุดตัวของเศรษฐกิจ (กระตุ้นทั่วถึงและต้องให้ถึงคนตัวเล็ก - ร้านค้าตัวเล็ก)
1.1)กระตุ้น / พยุงกำลังซื้อ ประชาชนและ MSMEs เพื่อให้เกิดผลบวกและทำให้เกิด Crowding-in Effect การที่รัฐบาลเลือกโครงการ “คนละครึ่ง” ซึ่งถือว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก ช่วยเพิ่มกำลังซื้อเชื่อมั่น เพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในเมืองและในต่างจังหวัด ทำให้เศรษฐกิจไม่ชะลอตัวลงมาก
1.2)เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 จำนวน 3.78 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน 8.64 แสนล้านบาท ให้มีการเร่งเบิกจ่ายตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2569 คือ ต.ค-ธ.ค.2568 เพื่อใช้งบประมาณเข้าไปอัดฉีดระบบเศรษฐกิจสู้กับเศรษฐกิจชะลอตัว
1.3)เร่งรัดกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2570 เนื่องจากการจัดทำงบประมาณปี 2570 จะเข้าสู่กระบวนการช่วงปลายปี 2569 ต่อต้นปี 2570 และเข้าใกล้กรอบเวลาการยุบสภา ซึ่งใช้เวลาอีกหลายเดือนจึงจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่ทำหน้าที่เบิกจ่ายได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย รัฐบาลนี้จึงต้องเร่งวาง Timeline ในการจัดทำงบประมาณไม่ให้เกิดความล่าช้า
1.4)ดูแลค่าเงินบาท ต้องไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งมากเกินไปจนผู้ส่งออกไม่สามารถแข่งขันได้ และหากค่าเงินมีความผันผวนมากเกินไปจนผู้ประกอบการไม่สามารถคาดเดาทิศทางเศรษฐกิจได้ จะทำให้เกิดการชะลอการลงทุน ต้องร่วมมือกับ ธปท. และธนาคารพาณิชย์จับตาอย่างใกล้ชิด เพราะธนาคารพาณิชย์จะเป็นด่านแรกของการเอาเงินสกุลต่างประเทศมาแลกเป็นเงินบาท
1.5)ดูแลสภาพคล่องในระบบ เพื่อให้ระบบสถาบันการเงินผันเงินเข้ามาในระบบเพิ่มเติม สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้น เกิดการจับจ่ายใช้สอย กระตุกให้ GDP และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการมีแรงจูงใจในการผลิตขึ้นมาบ้าง
(2)ในระยะยาวต้องเน้นเรื่องการยกระดับการเติบโตและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ (สร้างบุญใหม่แทนบุญเก่า)
2.1)แก้ปัญหาหนี้ 3 เสาหลัก เพื่อดูแลเสถียรภาพของเศรษฐกิจให้แข็งแรงขึ้น จนไม่เป็นตัวบั่นทอนการบริโภค การประกอบธุรกิจ และการทำนโยบายของภาครัฐ ที่จะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
2.2)เพิ่มรายได้เพื่อเพิ่ม Fiscal Space เพื่อให้ภาคการคลังมีเสถียรภาพมากขึ้น สร้างความเชื่อมั่นและมีช่องว่างในการกระตุ้นเศรษฐกิจ สิ่งที่สามารถทำได้ คือ การขจัดความซ้ำซ้อนของสวัสดิการ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าของการใช้เงินงบประมาณ เพิ่มช่องว่างทางการคลังเพื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน และค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนระบบ Welfare ไปเป็น Workfare
(3)เร่งรัดการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อปลุกให้สัดส่วนการลงทุนต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้น และกลับมาเป็นเครื่องยนต์หลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างอนาคตให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว ในขณะเดียวกันต้องหาฐานการลงทุนใหม่ในภูมิภาค เพื่อกระจายฐานการลงทุนออกไปจังหวัดอื่น ๆ ที่เริ่มมีศักยภาพมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิด Inclusive Growth ในอนาคต
(4)ยกระดับผลิตภาพการผลิตภาคการเกษตร เพื่อให้ประชากรประมาณ 20 ล้านคน ที่เป็นเกษตรกรซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่สุดของประเทศมีผลผลิตและรายได้เพิ่มขึ้น อันเป็นฐานการบริโภคที่สำคัญของประเทศ
(5)ปรับโครงสร้างประชากร เพื่อปรับกำลังแรงงานให้พร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต เพิ่มทักษะกำลังแรงงาน และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ประชากรสูงวัย ต้องใช้ทักษะที่เพิ่มขึ้นมาทดแทนปริมาณคนที่ลดลง
หากรัฐบาลสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน พ่อค้าแม่ค้าและผู้ประกอบการได้ว่า แรงกระแทกจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะเป็น Soft Landing และจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจค่อย ๆ ฟื้นตัวจากเครื่องยนต์ภายในผ่านการบริโภค การลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐ ไม่แน่ว่าเศรษฐกิจในปี 2569 อาจจะดีกว่าปี 2568 ก็เป็นได้
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน มิได้ผูกพันเป็นความเห็นขององค์กรที่สังกัด
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 12 กันยายน 2568