เมื่อนโยบายภาษีทรัมป์ เขย่าเศรษฐกิจอินเดีย
ย้อนหลังกลับไปราวต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จู่ ๆ ก็ออกมาเคลื่อนไหวในทิศทางที่ว่ากันว่าเป็นการบ่อนเซาะภาคการผลิตในประเทศอินเดียลงอย่างรุนแรง กระทั่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจของอินเดียขยายตัวในอัตราชะลอลง ด้วยการประกาศอัตราภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้าสินค้าจากอินเดียเพิ่มขึ้นอีก 25% ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าใด ๆ ก็ตามจากอินเดีย ต้องเสียภาษีนำเข้าสูงถึง 50% สูงกว่าการเรียกเก็บจากทุกประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกด้วยกัน
ทรัมป์เป็นผู้ประกาศการขึ้นภาษีดังกล่าวนี้ด้วยตัวเอง หลังจากที่ ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าประจำทำเนียบขาว และ สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังอเมริกัน ออกมากล่าวหาอินเดียว่า ยังคงเป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุนให้รัสเซียทำสงครามต่อยูเครน ด้วยการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ที่น่าสังเกตก็คือ ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นหลังจาก มีการเจรจาการค้าระหว่างคณะผู้แทนของทั้งสองประเทศถึง 5 รอบด้วยกัน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จใด ๆ แม้ว่าทางฝ่ายอินเดียจะคาดหวังว่าการเจรจาจะช่วยให้ฝ่ายอเมริกันจำกัดอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากอินเดียไว้ที่ 15% ก็ตาม
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลกระทบต่ออินเดียในทันที นักลงทุนต่างชาติพากันเทขายหุ้นอินเดียที่อยู่ในมือทิ้งเป็นมูลค่าสูงถึง 900 ล้านดอลลาร์ในช่วงหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น ต่อด้วยการไหลออกของเงินทุนอย่างต่อเนื่องตลอดเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มากถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ ดัชนีตลาดหุ้นอินเดียดิ่งลงระนาว “มูดีส์ เรตติ้ง” ออกมาเตือนว่า ความเคลื่อนไหวของสหรัฐอเมริกาครั้งนี้จะทำให้จีดีพีที่แท้จริงของอินเดียชะลอลงราว 0.3 เปอร์เซ็นเทจพอยต์ ในช่วงปีงบประมาณนี้
ผลกระทบโดยรวมที่เห็นได้ชัดนั้นหนักหนาสาหัสไม่น้อย มีการประเมินเบื้องต้นคร่าว ๆ ว่า การส่งออกของอินเดียที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงนั้นมีมูลค่าระหว่าง 30,000 ล้านถึง 35,000 ล้านดอลลาร์ แต่ถ้าหากรวมเอาส่วนที่ได้รับผลเสียหายในทางอ้อมเข้าไปด้วย มูลค่าจะถีบตัวสูงขึ้นเป็น 64,000 ล้านดอลลาร์โดยทันที
บรรดาสมาคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของอินเดียที่ได้รับผลกระทบออกมาเตือนว่า ปัญหาการส่งออกที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อาจส่งผลให้มีการตกงานเกิดขึ้นตามมาระหว่าง 200,000-300,000 ตำแหน่ง ปัญหาหนักหนาสาหัสที่สุดจะเกิดขึ้นกับบรรดาผู้ผลิตรายย่อยที่อาศัยคำสั่งซื้อเลี้ยงชีพ และจะล้มหายตายจากไปในทันทีที่คำสั่งซื้อถูกยกเลิก
การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ราว 14,400 ล้านดอลลาร์, ฟาร์มาซูติคอล ซึ่งมูลค่าอยู่ที่ราว 10,900 ล้านดอลลาร์ และอัญมณีที่ผ่านการเจียระไนแล้ว ซึ่งมีมูลค่าราว 4,800 ล้านดอลลาร์ จะเป็นเซ็กเมนต์ที่ได้รับผลกระทบสูงสุดในทันทีที่คำสั่งซื้อถูกระงับหรือยกเลิก เพราะแม้ว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องภาษี ความต้องการจากสหรัฐอเมริกาก็เริ่มอ่อนตัวลงมาอยู่ก่อนแล้ว
ข้อเท็จจริงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่อินเดียจะได้รับ แม้ว่าโดยภาพรวมในระดับมหภาคแล้ว จะดูเหมือนว่าผลกระทบจะไม่รุนแรงมากมายนัก เนื่องจากการค้ากับสหรัฐอเมริกา คิดสัดส่วนแล้วเป็นเพียง 2.5 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีทั้งหมดของอินเดียก็ตามที
โชคดีอยู่บ้างที่อินเดียมี “กันชน” ที่สำคัญสองอย่าง ช่วยบรรเทาผลกระทบจากความเคลื่อนไหวดังกล่าวของสหรัฐอเมริกา อย่างแรกก็คือ การเข้าไปช่วยแทรกแซงตลาดเงินของธนาคารกลางของอินเดีย ที่ช่วยให้เงินรูปีอ่อนค่าลงภายใต้การควบคุม จากเดิมที่ 85.64 รูปีต่อดอลลาร์ มาเป็น 87.89 รูปีต่อดอลลาร์ ในช่วงตั้งแต่ต้นกรกฎาคมเรื่อยมาจนถึงต้นเดือนสิงหาคม ก่อนที่จะมานิ่งอยู่ที่ราว ๆ 88 รูปีต่อดอลลาร์ ในเวลาต่อมา ประการถัดมาก็คือ การที่การส่งออกภาคบริการของอินเดียยังคงไม่ได้รับผลกระทบ ช่วยให้อินเดียยังพอมีช่องว่างให้ได้หายใจหายคออยู่บ้าง
ในมุมมองของสหรัฐอเมริกา อินเดียได้ประโยชน์มหาศาลจากการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย และยิ่งนับวันยิ่งนำเข้าเพิ่มมากขึ้น ทำให้สัดส่วนการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 42% ของการนำเข้าน้ำมันทั้งหมด เปรียบเทียบกับสัดส่วนการนำเข้าก่อนหน้าที่จะเกิดสงคราม ซึ่งอยู่ที่เพียงแค่ 1% ทำให้พฤติกรรมของอินเดียเป็นเรื่องรับไม่ได้
แต่อินเดียมองเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องของความมั่นคงทางด้านพลังงาน และเชื่อว่า สหรัฐอเมริกา หยิบยกเรื่องนี้ออกมาใช้เป็นข้ออ้างเพื่อเล่นงานอินเดียโดยเฉพาะ โดยชี้ให้เห็นว่า ทรัมป์ไม่เคยประกาศขึ้นภาษีแบบเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ ที่นำเข้าพลังงานจากรัสเซียเช่นกัน อย่างเช่น จีน และสหภาพยุโรป เป็นต้น
นอกจากผลกระทบจากนโยบายของสหรัฐอเมริกาที่เป็นกรณี “เฉพาะหน้า” แล้ว อินเดียยังเผชิญกับปัญหาท้าทายที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า นั่นคือ อินเดียจะกำหนดอนาคตในระยะยาวอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อทรัมป์แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า พวกเขามองการค้าว่าเป็นเครื่องมือหลักที่สำคัญในการสร้างอิทธิพลทางการเมือง อินเดียจะวางยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของตนอย่างไรในวันข้างหน้า เพื่อไม่ให้เกิดเหตุทำนองเดียวกันนี้ขึ้นซ้ำอีกในอนาคต
การส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 79,400 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 ชี้ชัดว่า อินเดียพึ่งพาตลาดตะวันตกมากจนเกินไป และจำเป็นต้องหันกลับมาใส่ใจกับการค้ากับบรรดาประเทศภายในภูมิภาคเอเชียด้วยกันให้มากยิ่งขึ้นในอนาคต
ผู้สันทัดกรณีชี้ว่า อินเดียจำเป็นต้องดำเนินการการทูตเศรษฐกิจที่เป็นเชิงรุกมากขึ้น อาทิ เร่งรัดการจัดทำความตกลงเพื่อความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจ (Comprehensive Economic Partnership Agreement) กับกลุ่มประเทศความร่วมมือแห่งอ่าวเปอร์เซีย (Gulf Cooperation Council) และหันมาพัฒนาความร่วมมือกับหุ้นส่วนในภูมิภาคอาเซียนมากยิ่งขึ้น
เพื่อแสดงตนให้เห็นว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “เครือข่ายเอเชีย” ที่กำลังรุ่งเรือง ต้องสร้างอิสระทางการเงิน จากอิทธิพลของเงินสกุลดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาให้ได้มากที่สุด เพื่อป้องกันผลกระทบทางเศรษฐกิจจากนโยบายทางการเมืองในอนาคต
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 1 ตุลาคม 2568