ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 20 ต.ค.68 "อ่อนค่า" ตลาดสหรัฐคลี่คลาย
KEY POINTS :
* ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันที่ 20 ต.ค. ที่ระดับ 32.82 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 32.66 บาทต่อดอลลาร์
* ปัจจัยหลักที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่ามาจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าสหรัฐฯ-จีน และความเสี่ยงปัญหาหนี้ของธนาคารในสหรัฐฯ เริ่มคลี่คลายลง
* การปรับตัวลงของราคาทองคำเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน
* นักวิเคราะห์ประเมินกรอบค่าเงินบาทสำหรับวันนี้ไว้ที่ 32.70-32.95 บาทต่อดอลลาร์ โดยมองว่ายังมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า "ค่าเงินบาทวันนี้"เปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.82 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.66 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.40-33.00 บาทต่อดอลลาร์ กรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.70-32.95 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง และมีจังหวะอ่อนค่าลงทะลุแนวต้าน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.65-32.91 บาทต่อดอลลาร์) หลังสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่เริ่มดูคลี่คลายลงบ้าง จากท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่ดูอ่อนลง
ประกอบกับ ความเสี่ยงปัญหาหนี้เสียของ Regional Banks ในฝั่งสหรัฐฯ ที่ดูคลี่คลายลงเช่นกัน ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ เดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง ช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์แข็งค่าขึ้น พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ (ซึ่งก็สอดคล้องกับการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด) กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) เข้าสู่ช่วงการปรับฐาน และเป็นอีกปัจจัยที่กดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลง
ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัด จากแรงขายเงินดอลลาร์และการขายทำกำไร ลดสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน
แนวโน้มค่าเงินบาท :
แนวโน้มค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทกลับมามีกำลังมากขึ้น หลังราคาทองคำได้ปรับตัวลงในช่วงปลายสัปดาห์ก่อนหน้า และมีแนวโน้มที่ ราคาทองคำ อาจจะเข้าสู่ช่วงการพักฐานได้ ซึ่งหากราคาทองคำเข้าสู่ช่วงการพักฐานได้จริง ก็อาจเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่า หรืออย่างน้อยก็อาจชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ (ในกรณีที่ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง)
ทั้งนี้ เราประเมินว่า เงินดอลลาร์แม้จะเผชิญความเสี่ยง Two-way risk ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด แต่เงินดอลลาร์มีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด หลังในช่วงสัปดาห์ก่อน ปัจจัยเสี่ยงอย่าง สงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน และปัญหาหนี้เสียของ Regional Banks ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด
นอกจากนี้ โอกาสของ Sanae Takaichi ในการขึ้นเป็นนายกฯ คนใหม่ของญี่ปุ่น ที่เพิ่มสูงขึ้น หลังการประกาศจับมือร่วมรัฐบาล LDP ของพรรค JIP (Ishin) อาจกดดันเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ผ่านการปรับลดความคาดหวังการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือขายทำกำไรสถานะ Short THB บ้าง และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เรามองว่า เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า จนกว่า เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์คงเสี่ยงเผชิญ Two-way risk แต่อาจแข็งค่าขึ้นบ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสและความกังวลปัญหาหนี้เสียของ Regional Banks ที่ลดลง นอกจากนี้ ประเด็นการเมืองญี่ปุ่นอาจหนุนเงินดอลลาร์ได้ หากเงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าลง จากแนวโน้ม Sanae Takaichi อาจชนะการโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มุมมองการลงทุนทั่วโลก :
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ท่ามกลางความกังวล สงครามการค้า สหรัฐฯ กับจีน และความเสี่ยงปัญหาหนี้เสียของ Regional Banks ในสหรัฐฯ
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และดัชนี PMI ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก พร้อมติดตาม ประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึง พัฒนาการสถานการณ์ทางการเมืองญี่ปุ่น พร้อมรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
ฝั่งสหรัฐฯ :
เนื่องจากช่วงนี้จะเป็นช่วง Blackout period ของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกันยายน (ซึ่งต้องระวังความคลาดเคลื่อนของการเก็บข้อมูลในช่วง US Government Shutdown) และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (S&P Manufacturing & Services PMIs) เดือนตุลาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา พัฒนาการของความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน อาทิ หุ้นเทคฯ ใหญ่ Tesla, Netflix และ Intel พร้อมจับตา รายงานผลประกอบการของบรรดา Regional Banks เพื่อประเมินความเสี่ยงปัญหาหนี้เสียว่าจะมีแนวโน้มขยายวงกว้างจนเกิดเป็นความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk) หรือไม่
▪ ฝั่งยุโรป :
บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการในเดือนตุลาคม ของยูโรโซนและอังกฤษ รวมถึงไฮไลท์สำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ
ฝั่งเอเชีย :
ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในเดือนกันยายน ทั้ง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) และยอดการลงทุนสินทรัพย์ถาวร (Fixed Assets Investment) รวมถึงอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 โดยแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวแย่กว่าคาด อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างปรับเพิ่มความคาดหวังว่า ทางการจีนอาจจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะในช่วงที่สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ กลับมาร้อนแรงขึ้น
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 (4th Plenum) ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระหว่างวันที่ 20-23 ตุลาคม นี้ ซึ่งจะมีไฮไลท์สำคัญ คือ การพิจารณาและรับรองร่างข้อเสนอแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 15 (2026-2030) โดยแผนพัฒนาฯ ดังกล่าวจะสะท้อนถึงแนวโน้มการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลจีน อาทิ การเน้นพัฒนาด้านเทคโนโลยี และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่เน้นการบริโภคภายในประเทศให้มากขึ้น เป็นต้น
ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ นั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของญี่ปุ่น ในเดือนตุลาคม และอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนกันยายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งผู้เล่นในตลาดมองว่า BOJ มีโอกาส 66% ที่จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้ หลังเส้นทางการขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ของ Sanae Takaichi จากพรรค LDP ถูกสั่นคลอนจากการประกาศถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของพรรค Komeito
อย่างไรก็ดี รายงานข่าวล่าสุด ได้ระบุว่า พรรค LDP ได้ประกาศจับมือกับพรรค JIP (Ishin) เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลจะมีเสียงรวมกัน 231 เสียง ขาดอีก 2 เสียง ถึงจะเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทน 465 เสียง แต่ก็อาจเพียงพอที่จะทำให้ Sanae Takaichi ชนะการโหวตเลือกนายกฯ ได้ เนื่องจากฝ่ายค้านของญี่ปุ่นยังคงขาดเอกภาพที่ชัดเจน ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น การโหวตเลือกนายกฯ ในวันที่ 21 ตุลาคม นี้ โดยประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อการปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยนโยบายของ BOJ ได้ในช่วงนี้
ฝั่งไทย :
บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ยอดการค้าระหว่างประเทศของไทยอาจเผชิญผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มากขึ้น หลังหมดอานิสงส์จากการเร่งนำเข้าสินค้าไทย (Front-Loading) ในช่วงก่อนหน้า โดยยอดการส่งออก (Exports) อาจขยายตัวเพียง +9%y/y ขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) จะโตราว +10%y/y ทั้งนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนล่าสุด หากทวีความรุนแรงมากขึ้น เช่น สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนในระดับสูง 140% อาจกดดันการค้าโลก และส่งผลกระทบต่อยอดการส่งออกของไทยได้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 20 ตุลาคม 2568