Think Big, Start Small, Scale Fast ทางรอดประเทศไทย "สร้างปฏิกิริยาลูกโซ่"
กรุงเทพธุรกิจเปิดมุมมองของ อิษฎา หิรัญวิวัฒน์กุล กรรมการผู้จัดการและหุ้นส่วนอาวุโส และหัวหน้า บริษัท เดอะ บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (Boston Consulting Group : BCG) ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการจัดการระดับโลก หาทางรอดประเทศไทย
ในห้วงเวลานี้ประเทศไทยต้องเผชิญบททดสอบอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม แม้มีความได้เปรียบหลายประการ ทั้งชัยภูมิที่เป็นจุดเชื่อมโยง ทรัพยากร แต่ก็มีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้ไทยไม่ได้ไปต่อ และน่าคิดว่า ทำไมการลงทุนจึงไหลไปที่เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย
กรุงเทพธุรกิจเปิดมุมมองของ อิษฎา หิรัญวิวัฒน์กุล กรรมการผู้จัดการและหุ้นส่วนอาวุโส และหัวหน้า บริษัท เดอะ บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (Boston Consulting Group : BCG) ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการจัดการระดับโลก หาทางรอดประเทศไทย
แม้ “ฟ้าฉ่ำฝน” คนก็ต้องคิดนอกกรอบ :
จากการที่ธนาคารโลกปรับลดผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยเหลือ 1.8% นั่นคือความท้าทายครั้งใหม่ของประเทศไทยหรือไม่นั้น อิษฎายกตัวอย่างถึง ไอร์ตัน เซนน่า แชมป์โลกฟอร์มูล่าวันระดับตำนานชาวบราซิลที่ครองแชมป์ได้ 3 สมัย (ปี 1988, 1990, 1991) ที่สามารถแซงคู่แข่งได้ในวันฝนตกว่า หากเป็นวันที่แดดแจ่มใส ไอร์ตันจะไม่สามารถแซงรถข้างหน้า 15 คันได้เลย
นั่นเป็นเพราะการฝึกซ้อมแบบ ”คิดนอกกรอบ” ของเขาที่เลือกสร้างความสามารถทางการแข่งขันในบริบทใหม่ เพื่อแซงคู่แข่งอื่นให้ได้ในวันฝนตก ซึ่งต่างจากนักแข่งคนอื่น ๆ ที่จะฝึกฝนในวันที่มีแดดออก และทำอะไรแบบเดิม ๆ นี่จึงทำให้เขากลายเป็น “จิตวิญญาณแห่งความเร็ว” และมีความสามารถในการขับขี่อันน่าทึ่ง โดยเฉพาะในสภาพอากาศเปียกชื้น จนเป็นที่จดจำมาจนถึงทุกวันนี้
“เมื่อมองกลับมาที่ภาวการณ์ของโลกตอนนี้ที่บริบทต่าง ๆ เปลี่ยนไปมากพอควร โดยที่เราไม่ได้ทำการค้า ไม่ได้สร้างอุตสาหกรรม หรือห่วงโซ่อุปทานกันเหมือนเดิมแล้ว ฉะนั้น นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะสามารถสร้างความสามารถทางการแข่งขันใหม่ ๆ เหนือคู่แข่งได้”
ทว่า “การฝันให้ไกลไปให้ถึง” นั้นก็ต้องตั้งเป้าหมายสูงสุดที่ยากไว้ก่อน ดังที่ จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเคยประกาศถึง Moonshot Vision เพื่อเหยียบดวงจันทร์ให้ได้ ซึ่งแม้เป็นเป้าหมายที่ยากจนดูเกินเอื้อม แต่นั่นก็ทำให้ทั้ง วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ร่วมแรงร่วมใจ เพื่อให้บรรลุภารกิจนี้
“ทำนองเดียวกัน ในการเลือกความสามารถทางการแข่งขันใหม่ ๆ ของประเทศ เราก็ต้องตั้งเป้าให้สูง และต้องได้รับความร่วมมือจากหลาย ๆ ภาคส่วนด้วย ไม่ใช่จากแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น” อิษฎากล่าว
ปัจจัยภายนอก – ภายในรุมเร้า :
ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอก- ภายใน โดยเฉพาะการติดหล่มโครงสร้าง เช่น หนี้สาธารณะที่ค่อนข้างสูง หนี้ครัวเรือนที่ปลายปี 67 อยู่ที่ 88 - 89% ของจีดีพีซึ่งสูงมาก และมีผลกระทบต่อเนื่องถึงอุปสงค์และกำลังซื้อของผู้บริโภค ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน เพื่อมิให้เกิดหนี้เสีย ประกอบกับไม่มีอุปสงค์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นจึงทําให้เกิดปัญหาสภาพคล่อง และการเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทยกำลัง ซึ่งไม่มีรายได้เพียงพอกับพื้นฐานการดำรงชีวิตที่จำเป็น
ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายนอกที่สำคัญก็มาจากสงครามการค้า ภาษีทรัมป์ แม้รัฐบาลจะได้เจรจาในส่วนของภาษีประเทศไทยมาแล้ว แต่กระนั้น ก็ยังเป็นปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง เพราะต้องพิจารณาถึงเงื่อนไข “ไส้ใน” ด้วยว่า จะส่งผลกระทบต่อเนื่องอย่างไรกับระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย อาทิ รายได้ของประเทศ ภาษีที่จัดเก็บได้ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นกฎหมายใหม่ๆ อย่างมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM)
ซึ่งจะมีผลทำให้ต้นทุนของผู้ส่งออกสินค้าไปยุโรปสูงขึ้น ซึ่งประเด็น CBAM ก็มีผู้ส่งออกรายใหญ่ในไทยที่มีความพร้อมเฉพาะบางรายและบางเซ็กเม้นท์เท่านั้น แตกต่างจากมาเลเซียที่กำลังพัฒนากูชิง (Kuching) รัฐซาราวักให้เป็น Green Hydrogen Hub เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตและการใช้ไฮโดรเจนสีเขียว ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดที่ผลิตจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน
ต้องมอง “ภาพรวม” ด้วย :
สำหรับประเทศไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ แม้จะมีการพูดถึงธุรกิจใหม่ ๆ ในกลุ่ม S-Curve แผนการดำเนินงานก็มีมาก แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง เช่น ธุรกิจเซมิคอนดัคเตอร์ที่นักลงทุนให้ความสำคัญกับแผนการจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศนั้น ๆ ด้วย เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้น้ำจำนวนมหาศาล แต่ในทางปฏิบัติแล้ว น้ำเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับหลายกระทรวงมาก อาทิ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย ฯลฯ
และหากวางแผนไม่ดี เช่น ในปีที่มีปริมาณน้ำดิบน้อย แต่อุปสงค์ภาคการเกษตร อุตสาหกรรม ท่องเที่ยว หรือภาคประชาชนก็ยังคงมีเช่นเดิม แล้วเราจะจัดการในองค์รวมอย่างจริงจังและต่อเนื่องได้อย่างไร นี่จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่นักลงทุนพิจารณานอกเหนือจากโนว์ฮาว เทคโนโลยี หรือผลประโยชน์ทางด้านภาษี ขณะที่ประเทศอื่นๆ จะมีตัวเชื่อมและขับเคลื่อนจาก “บนลงล่าง” (Top Down Management) เช่น บางประเทศต้องการวางให้เป็นวาระแห่งชาติ จากนั้นก็จะแตกแขนง และเชื่อมโยงกันไป
โอกาสใหม่ๆ ของไทยที่ “โลกใต้” :
จากการที่ Boston Consulting Group เคยชี้ว่า Global South หรือ “โลกใต้” จะเป็นศูนย์กลางเติบโตใหม่นั้น อิษฎากล่าวว่า นับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เกิดปรากฏการณ์ความร่วมมือใหม่ที่เรียกว่า South–South Cooperation (SSC) ในกลุ่มประเทศโลกใต้ที่ทำการค้าและลงทุนกันเองในภูมิภาคมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง (จากเดิมที่ทำการค้าและการลงทุนไปยัง Global North อย่างยุโรป อเมริกา และจีน) สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา หรือกรณี CBAM ของยุโรป ฯลฯ ซึ่งนี่ก็ย่อมเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะมองหาตลาดใหม่ ๆ จากกลุ่ม South–South ซึ่งเป็นประเทศที่เผชิญ “ภาวะฝนตก” เช่นเดียวกับประเทศไทย ที่สำคัญ กลุ่มประเทศเหล่านี้มีแนวโน้มการเติบโตสูงถึง 20%ของ GDP โลกภายในปี ค.ศ.2030
ต้อง Think Big, Start Small, Scale Fast :
อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังเชื่อมั่นกับศักยภาพของประเทศไทยว่า ถ้าเราเริ่มกันด้วยกลยุทธ์ Think Big, Start Small, Scale Fast ประเทศไทยจะไปได้แน่ เพียงแต่จะเริ่มกันแล้วก็ต้องค่อย ๆ ปรับกันไป เป็น Trial & Error แต่เมื่อเรารู้ว่ามาถูกทางเราจะได้เร่งความเร็ว (Speed) มากขึ้นไปอีก
นี่จึงเป็นที่มาว่า ต้อง Think Big คิดให้ไกล คิดในภาพรวม แต่ที่สำคัญต้อง Start Small นั่นเป็นเพราะถ้า เริ่มใหญ่เลยการปรับเปลี่ยนก็จะทำได้ยาก และจะไม่ได้เริ่มเสียที หรือถ้าไม่ดีแล้วต้องยกเลิกก็ต้องมองมุมกลับว่าการยกเลิกไม่ใช่เรื่องไม่ดีเสมอไป เพราะถ้าเราถอดบทเรียนเพื่อดำเนินการให้ดีขึ้นในครั้งต่อ ๆ ไป แล้วก็ Scale Fast ในขอบเขตที่เราจะควบคุมได้ โดยอาจจะไม่ต้องเหมือนกันทั้งหมดก็ได้ แต่เป็นสเกลที่ใกล้เคียงกันก็ได้ เพื่อนำสิ่งที่เราได้เรียนรู้จาก Start Small ไปต่อยอด จากนั้น เราก็จะสามารถสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ เพื่อสร้างความเข้มแข็งต่อเนื่องกันได้ทั้งประเทศ
ถ้าประเทศไทยสามารถทำได้แบบนี้ ผมว่าเรามีโอกาสที่จะหลุดพ้นกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง แม้จะติดมานานกว่าสิบปี เพียงแต่เราต้องสร้างความสามารถทางการแข่งขันใหม่ ๆ สร้างอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ให้ชนะในวันที่ฝนตกได้ ก็จะทำให้ระบบเศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนของเงิน เกิดการสร้างงาน และระบบก็ไปต่อได้ แต่ที่สำคัญ และอยากให้มาโฟกัส คือ การศึกษาและ AI ที่คนวัยทำงานควร Up-Skill ทักษะการใช้ AI เพื่อทำงานให้กับเรา
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2568

