พ.ร.บ. Climate Change เส้นตายปี 2570 อุตสาหกรรมปรับตัวลดคาร์บอน
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ เนื่องจากกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น หลายประเทศประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติร้ายแรง โดยประเทศไทยได้ประกาศที่จะมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2065 (พ.ศ. 2608)
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กล่าวว่า กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นแม่งานหลักในการเดินหน้าฝ่าวิกฤติสภาพอากาศสู้โลกเดือด ผ่านการจัดทำ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ “พ.ร.บ.Climate Change” มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทยมีกลไกการบังคับและเข้มงวดในการลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย
จ่อเข้า ครม. บังคับใช้ปี 2570 :
การจะเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน กฎหมายฉบับนี้จึงจัดทำทั้งภาคบังคับและภาคสนับสนุน เพื่อให้เกิดการลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงต้องการหยิบยกเครื่องมือใหม่ ๆ ที่ไม่มีกฎหมายฉบับใดในประเทศไทยให้อำนาจไว้มาใช้ได้ ร่าง พ.ร.บ.Climate Change ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นร่างไปเมื่อเดือนมีนาคม 2567 โดยทั้ง 14 หมวด ได้พิจารณาเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้จึงอยู่ระหว่างทำการประเมินผลกระทบของกฎหมาย และจะนำไปรับฟังความคิดเห็นในการประเมินผลสัมฤทธิ์

จากนั้นจะประมวลความคิดเห็นอีกครั้ง คาดว่าจะเสนอเข้าคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2567 และเตรียมเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในหลักการ จากนั้นจะส่งให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาตรวจสอบร่าง พ.ร.บ. ก่อนผลักดันเข้าที่ประชุมสภา คาดว่าการดำเนินการจะเสร็จสิ้นและมีผลบังคับใช้ในปี 2570
บังคับรายงานการปล่อยคาร์บอน :
ร่าง พ.ร.บ. Climate Change จะมีความสำคัญ คือ การกำหนดกฎเกณฑ์ข้อบังคับเกี่ยวกับข้อปฏิบัติเรื่องการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากเดิมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนของทุกกิจการ จะถูกรายงานในงบการเงินด้วยภาคสมัครใจ แต่หาก พ.ร.บ.มีผลบังคับใช้ จะกำหนดให้หน่วยงานรัฐมีอำนาจในการขอข้อมูลดังกล่าวจากกิจกรรม 5 ประเภท ได้แก่ การใช้เชื้อเพลิง การผลิต การเกษตร ป่าไม้และการใช้ประโยชน์จากที่ดิน รวมถึงการจัดการของเสีย
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจจะต้องมีการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (CFO) ซึ่งจะต้องมีการจ้างที่ปรึกษาเพื่อวัดและรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกเป็นประจำทุกปี ปีละ 1 ครั้ง ซึ่งข้อกำหนดดังกล่าวจะส่งผลให้องค์กรที่ทำธุรกิจหรือมีธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทั้ง 5 ประเภทจะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการดูแลควบคุมและรายงานปริมาณก๊าซเรือนกระจก
ขณะที่กลไกของการกำหนดราคาคาร์บอน จะประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ
1)ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) ที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต้องส่งมอบสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อรัฐบาลทุกปี
2)ภาษีคาร์บอน ที่จะเก็บภาษีตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คล้ายกับภาษีที่คำนวณจากปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั่นเอง
และขณะนี้กรมสรรพสามิต อยู่ระหว่างแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อดำเนินการจัดเก็บภาษีจากคาร์บอนที่อยู่ภายใต้ภาษีสิ่งแวดล้อม โดยจะมุ่งเน้นไปที่ 3 สินค้าหลัก คือ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ที่อาจจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างภายใน 2-3 ปีหลังจาก พ.ร.บ บังคับใช้
โครงการ CCS ปตท.สผ. :
ในแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกจากปัจจุบันไปจนถึงปี 2030 (พ.ศ. 2573) ประเทศไทยจะต้องลดให้ได้ 30-40% จากเป้าเดิม 20-25% ดังนั้น ไทยจะเริ่มเห็นการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้นจะเห็นการเปลี่ยนขยะเป็นเชื้อเพลิง โครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ของ ปตท.สผ. รวมทั้งการจัดการภาคเกษตร
ในขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินว่า เมื่อบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวแล้ว สัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจะเพิ่มอีก 3 เท่า ภายในปี 2040 (พ.ศ. 2583) แต่ภาคอุตสาหกรรมไทยที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงจำนวน 14 อุตสาหกรรม ได้แก่ ภาคการขนส่ง สาธารณูปโภค โลหะ อโลหะ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ยางและพลาสติก การขุดเจาะปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ เหมืองถ่านหิน กระดาษและเยื่อกระดาษ ภาคการเกษตรและปศุสัตว์ อาหารและเครื่องดื่ม คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ไฟฟ้า ที่มีมูลค่า 6.5 ล้านล้านบาท หรือ 37% ของ GDP จะเผชิญกับต้นทุนการดำเนินกิจการที่เพิ่มสูงขึ้น จากการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และระบบภาษีคาร์บอน โดยภาครัฐควรมีมาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายโดยการให้เงินสนับสนุนหรือนำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้
เริ่มประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ :
นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ กรรมการ สถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประธานคณะทำงาน Climate Change และยังเป็นประธานกรรมการ บริษัท บีบีจีไอ ไบโอดีเซล จำกัด รวมถึงประธานกรรมการ บริษัท บีบีจีไอ ไบโอเอทานอล จำกัด (มหาชน) ในเครือบางจาก กล่าวว่า ในภาคเกษตรได้มุ่งเป้าไปที่ “ปาล์ม” พืชเศรษฐกิจที่ถูกนำร่องดันเข้าตลาดคาร์บอนเครดิต
ในขณะที่ นายพัลลภ อินทะนิล นักวิชาการ สำนักรับรองคาร์บอนเครดิต องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ขณะนี้พืชชนิดอื่นได้เริ่มทำการศึกษารูปแบบวิธีการทำการเกษตรที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด เนื่องจากภาคเกษตรเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่พบว่ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลายชนิด ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง และในอนาคตจะถูกบีบบังคับอย่างมากจากกติกาโลก เป็นผลมาจากการใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี การฝังกลบ การหมัก ที่ไม่มีการบริหารจัดการ การปลูกในรูปแบบเดิม ๆ เช่น ข้าวที่สามารถปล่อยก๊าซมีเทนเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ไทย การเกษตรคืออุตสาหกรรมหลักของประเทศ จึงอาจต้องใช้เวลาปรับตัวค่อนข้างนาน
ดังนั้น นอกจากเกษตรกรแล้ว เอกชนจึงต้องเตรียมพร้อมในเรื่องของ 1.เริ่มประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์ ที่ในอนาคตต้องรายงานเช่นเดียวกับการรายงานงบการเงิน 2.เริ่มลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต ด้วยการลดใช้ไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมไปถึงการลงทุนปรับเปลี่ยนกระบวนการใช้พลังงานหรือเทคโนโลยีใหม่ เช่นเดียวกับภาคการขนส่งจากใช้น้ำมันเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือการใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจน 3.การรู้ทันกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม ในเรื่องจำเป็น เช่น นโยบาย EU-CBAM มาตรการ US-CBAM
เมื่อการดำเนินการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ได้กลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ในการดำเนินธุรกิจ ผู้ประกอบการจะไม่สามารถเพิกเฉยเรื่องนี้ได้อีกต่อไป เพราะไม่ว่าอย่างไร แนวโน้มของกระแสรักษ์โลกเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม คือ สิ่งที่ทั่วโลกได้ตั้งไว้เป็นกติกาเพื่อมาบังคับใช้อย่างแน่นอน เมื่อใดที่ใครปรับตัวและเริ่มได้เร็ว ก็จะเป็นผู้มีความสามารถในการแข่งขันทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 27 ตุลาคม 2567