เจาะมิติสัมพันธ์อาเซียน หลังศึกชิงทำเนียบขาว 2024
เป็นที่ทราบกันดีว่า อาเซียน เป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1967 โดยมีสมาชิก 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งมีเป้าหมายทางการเมืองเพื่อป้องกันการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ช่วงสงครามอเมริกา-เวียดนามในคริสต์ศตวรรษ 1960
ด้วยเหตุนี้ อาเซียนจึงมองว่าความร่วมมือทางเศรษฐกิจจะนำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นและสามารถยกระดับการพัฒนาประเทศจนส่งผลต่อการเอาชนะลัทธิคอมมิวนิสต์ที่กำลังได้รับความนิยมในหลายพื้นที่ของภูมิภาค ดังนั้น นับตั้งแต่แรกเริ่ม อาเซียนจึงไม่ใช่กลุ่มความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการทหาร แต่เป็นองค์กรความร่วมมือทางการเมืองและเศรษฐกิจที่พยายามจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (non-aligned)
เพื่อรักษาระยะห่างและความเป็นอิสระจากมหาอำนาจภายนอกภูมิภาค โดยจะเห็นได้ชัดเจนว่าโครงสร้างองค์กรและรูปแบบการทำงานของอาเซียนไม่ใช่แบบเดียวกันกับสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจเหนือรัฐบาลของประเทศสมาชิก (supra governmental organization)
ทำให้ในปัจจุบัน หลักการวิถีอาเซียน (ASEAN Way) อันได้แก่ การไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน (non-intervention) การแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี (peaceful resolution) และการตัดสินใจด้วยการปรึกษาหารือและฉันทามติ (consultation and consensus) ทำให้แต่ละประเทศสมาชิกทั้ง 10 ของอาเซียน ต่างก็มีอำนาจอธิปไตยเต็มที่ในการตัดสินใจด้วยตนเองต่อการดำเนินนโยบายด้านต่างๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องต้องกันหรือมีท่าทีไปในทิศทางเดียวกันต่อสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์เมื่อปี ค.ศ.2021 ที่อาเซียนไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วมกันได้ เนื่องจากกัมพูชาไม่เห็นด้วยกับฟิลิปปินส์และเวียดนามต่อท่าทีความขัดแย้งกับจีนในปัญหาทะเลจีนใต้ เป็นต้น
แม้แต่ระบอบการปกครองของประเทศสมาชิกแต่ละแห่งก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตนและมีรายละเอียดที่แตกต่างหลากหลายไม่สามารถจัดกลุ่มให้อยู่ในรูปแบบหรือสถานะเดียวกันได้ มีทั้งสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ประชาธิปไตยแบบผสม เผด็จการอำนาจนิยมเผด็จการทหาร เป็นต้น อาจกล่าวได้ว่า 10 ประเทศมี 10 ระบอบการปกครอง
ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น ไม่ได้หมายความว่า อาเซียนไม่มีความสำคัญอะไรต่อภูมิภาคหรือเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศเลย ในทางกลับกัน อาเซียนก็ประสบความสำเร็จในด้านการสร้างบรรยากาศที่ดีในการจัดให้มีการประชุมเพื่อปรึกษาหารือร่วมกัน เพื่อป้องกันและลดความร้อนแรงของปัญหาผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น สนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia-TAC)
ซึ่งในปัจจุบันมีภาคีสมาชิกเข้าร่วมแล้วกว่า 55 ประเทศทั่วโลก และปฏิญญาว่าด้วยเขตแห่งสันติภาพ เสรีภาพ และการวางตัวเป็นกลาง (Zone of Peace, Freedom and Neutrality Declaration-ZOPFAN) โดยยึดหลักการสำคัญคือ การไม่แทรกแซงกิจการภายใน (non-intervention) และการไม่ใช้กำลัง (non-violence) ในการแก้ปัญหา ประกอบกับการยึดมั่นในหลักการความเป็นศูนย์กลางของอาเซียน (ASEAN Centrality) ที่เป็นเสมือนเวทีกลางทางการทูตและการเมืองระหว่างประเทศที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของโลก ผ่านการเข้ามามีส่วนร่วมในการประชุมสุดยอดผู้นำของประเทศมหาอำนาจจากทุกภูมิภาคตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
เนื่องด้วยลักษณะแนวทางการดำเนินงานของอาเซียนและประเทศสมาชิกเป็นเช่นนี้ ทำให้เห็นได้ว่าท่าทีและความสัมพันธ์ของอาเซียนที่มีต่อประเทศมหาอำนาจภายนอกภูมิภาคส่งผลต่อสถานการณ์และทิศทางความร่วมมือระหว่างประเทศของสมาชิกอาเซียนในทุกมิติด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะบทบาทของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีต่ออาเซียนย่อมส่งผลกระทบต่อทิศทางการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศของผู้ได้รับชัยชนะหลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาใน
วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ.2024
ว่ากันตามตรงแล้ว นโยบายของผู้สมัครประธานาธิบดีทั้งสองฝ่าย คือ คามาลา แฮร์ริส และโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นไม่ได้มีเนื้อหาที่มุ่งเน้นถึงภูมิภาคอาเซียนโดยตรง แต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภูมิทัศน์ทางภูมิศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจของอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการค้าและความเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคง รวมทั้งความสัมพันธ์ทางการทูตกับวอชิงตัน อาจจะพิจารณาได้จากท่าทีและอุดมการณ์ทางการเมืองของแต่ละฝ่าย โดยเฉพาะนโยบายและท่าทีต่อประเทศจีน หากจะทำนายแนวโน้มด้านนโยบายของสหรัฐอเมริกาที่จะมีต่ออาเซียน ตัวอย่างเช่น นักวิเคราะห์หลายท่านมีความเห็นส่วนใหญ่ไปในทางเดียวกันว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณที่จะกลับมาใช้นโยบาย America First ที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของมาตรการกีดกันและการแข่งขันทางการค้ามากยิ่งขึ้น ในขณะที่ท่าทีของ คามาลา แฮร์ริส ก็ยังคงรักษานโยบายที่มีความยืดหยุ่นและยึดมั่นในแนวทางพหุภาคีนิยม (multilateralism) ที่เน้นสร้างความร่วมมือด้านต่างๆ ระหว่างกัน แต่ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะเลือกตั้ง สหรัฐอเมริกาจะยังคงต้องรักษาอิทธิพลของตนในภูมิภาคอาเซียน ผ่านนโยบายที่ให้ความสำคัญกับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific)
คามาลา แฮร์ริส เคยเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asian Summit) และแสดงท่าทีที่มุ่งมั่นต่อการรักษาสันติภาพและระเบียบของโลก สร้างความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค และต้องการให้ประเทศต่างๆ เห็นว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศพันธมิตรที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาทะเลจีนใต้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสัมพันธ์โดยตรงกับปัญหาไต้หวันด้วย นอกจากนี้ ยังเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ (nontraditional security) เช่น ความมั่นคงทางสภาพภูมิอากาศ ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ความมั่นคงทางไซเบอร์ และความมั่นคงด้านสุขภาพ เป็นต้น
ในขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เน้นนโยบายที่จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาระหว่างประเทศในภูมิภาคอื่นๆ เพราะไม่อยากเห็นคนอเมริกันไปเสียชีวิตในต่างแดน เพราะนโยบายภายในประเทศมาก่อน แต่อย่างไรก็ตาม แนวทางการดำเนินนโยบายของทรัมป์มีความไม่แน่นอน เพราะแนวโน้มที่จะลดการสนับสนุนด้านความมั่นคงและการส่งกองกำลังทหารชาวอเมริกันไปร่วมรบจะทำให้เกิดความกังวลทั่วทั้งภูมิภาค แต่การกลับมาของทรัมป์ก็อาจเพิ่มความเข้มข้นในการแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน โดยอาจจะกดดันให้ประเทศต่างๆ ในอาเซียนต้องเลือกข้าง ซึ่งอาจจะส่งผลต่อหลักการความเป็นแกนกลางของอาเซียน
ในมิติทางเศรษฐกิจ โดนัลด์ ทรัมป์ มีนโยบายกีดกันทางการค้าอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของภูมิภาค ทรัมป์เสนอให้ตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมดในอัตราร้อยละ 10 และหากเป็นสินค้าจากจีนให้เก็บภาษีร้อยละ 60 ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความปั่นป่วนต่อสภาวะทางเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคที่เชื่อมโยงกับจีน ในขณะที่นโยบายที่เน้นกรอบความร่วมมือพหุภาคีของคามาลา แฮร์ริส ย่อมจะส่งผลต่อการพัฒนากรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
อินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework for Prosperity-IPEF) ที่มีเป้าหมายเพื่อถ่วงดุลอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีนเช่นกัน
โดยสรุป สำหรับอาเซียนแล้วไม่ว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้จะออกมาอย่างไร อาเซียนก็ยังคงต้องดำเนินนโยบายด้วยแนวทางการถ่วงดุลระหว่างประเทศมหาอำนาจฝ่ายต่างๆ ที่อาจจะส่งผลในทางลบกับประเทศและประชาชนของตน นโยบายของสหรัฐอเมริกาเองก็ยังคงจะต้องรักษาความเป็นพันธมิตรและอำนาจนำในภูมิภาคอาเซียน และอาเซียนเองก็ไม่มีนโยบายเลือกข้าง แต่ในระดับรัฐบาลของประเทศสมาชิกหลายประเทศได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อประเทศมหาอำนาจไปแล้ว เช่น ในกรณีของจีนกับลาว กัมพูชาและเมียนมา หรือกรณีฟิลิปปินส์กับสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
อาเซียนยังคงต้องแสดงท่าทีที่จะยึดมั่นในหลักการความเป็นอิสระและความเป็นแกนกลางของอาเซียน (ASEAN’s Strategic Autonomy and Centrality) และยังคงยึดหลักการไม่ก้าวก่ายหรือแทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิก (non-intervention) หากประเทศใดจะดำเนินนโยบายสนับสนุนมหาอำนาจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอันเนื่องมาจากปัจจัยด้านผลประโยชน์ และในท้ายที่สุดแล้วหากเกิดปัญหาข้อพิพาทขึ้น อาเซียนก็จะกลายเป็นทั้งสมรภูมิและเป็นเวทีในการเจรจาแก้ปัญหา ตามวิถีอาเซียน (ASEAN Way) ที่เคยใช้ได้ผลและประสบความสำเร็จจนสามารถรักษาเสถียรภาพและสันติภาพภายในภูมิภาคดังที่ปรากฏเสมอมา
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 31 ตุลาคม 2567