นักวิชาการชี้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดยาก "อุบล" เหมาะสมแต่ 3 จุดเสี่ยงต้องเป๊ะไม่งั้นยุ่ง
หอการค้าไทย ถกทิศทางโครงสร้างพลังงานชาติ 2567 หวังแผนพลังงานชาติดันไทยเข้าเป้า Net Zero ปี 2065 & Carbon Neutrality ปี 2050 แนะเปลี่ยนผ่านจากฟอสซิลไปใช้พลังงานหมุนเวียน นักวิชาการชี้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์อยู่ท้ายแผน โอกาสเกิดขึ้นยาก
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดเสวนา “ทิศทางโครงสร้างพลังงานชาติ 2567”ครั้งที่ 3 โดยความคิดเห็นครั้งนี้จะถูกรวบรวมความคิดเห็นเพื่อนำไปจัดทำเป็นสมุดปกขาวส่งมอบให้กับรัฐบาล
นายพิชัย จิราธิวัฒน์ ประธานคณะกรรมการพลังงานหอการค้าไทย กล่าวว่า ตัวเลขจีดีพีของประเทศไทยเกี่ยวข้องกับภาคพลังงานถึง 20% สะท้อนให้เห็นว่าค่าแรงถูกนำไปจ่ายให้กับภาคพลังงาน เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน ค่าก๊าซหุงต้ม และสินค้าในชีวิตประจำวันที่ถูกรวมกับราคาพลังงาน ซึ่งกระทบกับประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้น แผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) จะเป็นกลไกสำคัญที่กำหนดทิศทางและวางแผนพลังงานของประเทศให้มีความมั่นคง นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานจากฟอสซิลไปเป็นพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานทดแทน ตลอดจนบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ. 2065
ศ.ดร.กุลเชษฐ์ เพียรทอง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและบริการด้านพลังงาน มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า กระทรวงพลังงานจัดทำแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) เพื่อเป็นแม่บทกำกับทิศทางการพัฒนานโยบายพลังงานของประเทศ โดยระบุว่า ต้องใช้พลังงานทดแทน (Renewable Energy) มากกว่า 50% และใช้ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) เข้ามาเสริมเพื่อให้ทะลุเป้าหมาย 50% นอกจากนี้ แผนระบุว่า ในปี 2030 หรืออีก 6 ปีประเทศไทยจะมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นประมาณ 30% แต่ต้องเป็นไฟฟ้าที่ได้มาจากพลังงานสะอาด หรือพลังงานสีเขียว (Green Energy) จึงจะตอบโจทย์การลดการปล่อยคาร์บอนของประเทศ
“แผน NEP กำหนดไว้ว่าเราต้องลดความเข้มข้นในการใช้พลังงานมากกว่า 30% ซึ่งเป็นเรื่องที่หนักใจว่าประเทศไทยจะสามารถทำได้ภายในปี 2030 หรือไม่ ซึ่งต้องระบุในแผนอย่างชัดเจนว่าจะทำอย่างไรบ้าง” ศ.ดร.กุลเชษฐ์กล่าว
ศ.ดร.กุลเชษฐ์กล่าวว่า ในช่วงปี 2553 รัฐบาลขณะนั้นได้มีการอนุมัติแผน PDP 2010 โดยมีพลังงานนิวเคลียร์อยู่ในแผน 5,000 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2554-2573 มีแผนจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 5 โรง โดยได้เลือกพื้นที่เหมาะสม 5 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี นครสวรรค์ ตราด สุราษฎร์ธานี ชุมพร ซึ่งอุบลราชธานีถูกเลือกเป็นอันดับหนึ่ง โดยพิจารณาจากด้านวิศวกรรม สิ่งแวดล้อม และการประเมินต้นทุนก่อสร้างของโรงไฟฟ้า เนื่องจากมีเขื่อนสิรินธรที่ผลิตกระแสไฟฟ้าและเป็นโรงไฟฟ้าหล่อเย็น แต่พอเกิดเหตุแผ่นดินไหวเกิดคลื่นสึนามิเมื่อปี 2554 เป็นผลให้ “โรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ไดอิจิ” (Fukushima Daiichi) ได้รับความเสียหาย ทำให้ไทยจึงชะลอแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไปด้วย
ศ.ดร.กุลเชษฐ์กล่าวว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีความเสี่ยง 3 ขั้น คือ 1.เมื่อใช้โลหะประเภทยูเรเนียมเป็นระยะเวลานานและมีการเสื่อมสภาพจากการใช้งานก็ต้องถอดออกจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ (Nuclear Reactor) และต้องมีถังเก็บภายในโรงไฟฟ้า 2.การขนส่งกากกัมมันตรังสีที่เหลือไปยังแหล่งกำจัดเก็บอย่างถาวรในชั้นหินใต้พื้นดินระดับความลึก 300 ฟุต เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายหรือเกิดมลพิษจะต้องปลอดภัย 3.การฝังกลบจะต้องแน่ใจว่าจะไม่เกิดการรั่วไหลและภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว อย่างไรก็ดี แม้แนวคิดสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะถูกผลักให้อยู่ปลายแผนพลังงานชาติ แต่กระทรวงพลังงานจะต้องเตรียมบุคลากรให้มีความพร้อมทั้งเทคนิค โครงสร้างเชิงวิศวกรรมและความปลอดภัย เมื่อพลังงานของประเทศเกินขีดจำกัด โรงไฟฟ้านิวเคลียร์อาจจะเป็นทางออกสุดท้าย
รศ.ดร.ภาวิณี ศักดิ์สุนทรศิริ ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า ผู้ประกอบการจำเป็นต้องลดการปล่อยคาร์บอนทางตรง (Scope 1) ซึ่งเป็นการลดในพื้นที่ขอบเขตของตนเอง ขณะที่ Scope 2 แผน PDP มีบทบาทในการช่วยลดปัจจัยการปล่อยคาร์บอน และ Scope 3 คือ การช่วยกันทั้ง Supply Chain ซึ่งจะต้องทำ 2 ด้าน คือ ด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency) ในภาคอุตสาหกรรม และด้านปรับปรุงปัจจัยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างไรก็ตาม หาก Emission Factor ถูกปรับปรุงด้วยแผนพลังงานที่ดี ภาคอุตสาหกรรมก็จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง ขณะเดียวกันการปรับภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) เป็นการกดดันให้ภาคธุรกิจหาวิธีที่จะลดการปล่อยคาร์บอนและประหยัดต้นทุนที่จะเพิ่มมากขึ้น
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 31 ตุลาคม 2567